จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้หลายบริษัทเริ่มหันมาใช้การทำงานรูปแบบ Work from Home เพื่อให้การทำงานยังคงต่อเนื่องได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งส่วนหนึ่งช่วยให้ทำเช่นนั้นได้คือเทคโนโลยี โดยเฉพาะโปรแกรม Zoom ที่มีผู้นิยมใช้อย่างมากในการประชุมแบบเห็นหน้า ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหลายบริษัททั่วโลกที่เริ่มมาตรการ Work from Home
เมื่อเปรียบเทียบผู้ใช้งานในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในเดือนมีนาคมปี 2019 มีผุ้ใช้งานโปรแกรม Zoom สูงถึง 10 ล้านรายทั่วโลก แต่ในช่วงเดือนมีนาคม 2020 นี้มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 200 ล้านคนต่อวัน ซึ่ง Eric Yuan ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Zoom ชี้ว่า จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้มีมาตรกร Work from Home และทำให้มีการใช้โปรแกรม Zoom ในการประชุมทางไกลจำนวนมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ผลจากที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นทั้งเวอร์ชั่นฟรีและเวอร์ชั่นลงทะเบียน (มีค่าใช้จ่าย) ส่งผลระบบความปลอดภัย โดยในการประชุมทางไกลผ่าน Zoom ของบริษัทแห่งหนึ่งที่นิวยอร์ค ถูกขัดจังหวะกลางคันเมื่อมีชายแปลกหน้ามามาในระบบ แล้วพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติทั้งที่ชายแปลกหน้านั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว
ส่งผลให้ Zoom เตรียมการอัพเดตระบบความปลอดภัยภายใน 90 วันนี้ทั้งในแบบเวอร์ชั่นฟรีและเวอร์ชั่นลงทะเบียน ทั้งนี้ Zoom ยังได้แนะนำให้ผู้เป็นโฮสต์ในการประชุมเปิดระบบป้องกันการบุกรุกไว้ด้วย ทั้งนี้ในช่วงระหว่าง 90 วัน Zoom ได้แนะนำวิธีการใช้งานที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น
– อย่าเปิดการประชุมแบบสาธารณะ โดยสามารถกำหนดให้ผู้เข้าร่วมใช้รหัสผ่านหรือให้ผู้จัดการการประชุมเป็นผู้ยอมรับให้บุคคลนั้นๆ เข้าร่วมประชุมเป็นรายบุคคล
– เชิญด้วยความระมัดระวัง อย่าแชร์ลิงก์ไปยังการประชุม แต่ควรใช้วิธีส่งข้อความถึงผู้เข้าร่วมประชุมโดยตรง
– จำกัดการแชร์หน้าจอ โดยผู้เป็นโฮสต์ของการประชุมสามารถสามารถกำหนดให้ผู้ที่เป็นโฮสต์เท่านั้นสามารถแชร์หน้าจอได้
– ล็อคการประชุม ผู้เป็นโฮสต์การประชุมสามารถปิดรับสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมได้ โดยคลิกที่แท็บ “ผู้เข้าร่วม” ด้านล่างของหน้าต่าง Zoom แล้วเลือก “ล็อคการประชุม”
– ใช้คุณสมบัติปิดเสียง ผู้เป็นโฮสต์สามารถควบคุมการประชุมได้ด้วยการปิดเสียงไมค์ของผู้เข้าร่วมประชุมได้
– ดีดคนที่ไม่ได้รับเชิญ ผู้เป็นโฮสต์สามารถลบผู้เข้าร่วมที่ไม่เกี่ยวข้องได้ โดยวางเมาส์ไว้เหนือชื่อคนนั้นและเลือกตัวเลือกลบ
Source: USA Today, Business Insider
