กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เมื่อคู่ขัดแย้งอย่างรัสเซียและยูเครนเกิดการปะทะกัน ส่งผลให้ทั่วโลกในว่าจะเกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้นระหว่างมหาอำนาจอย่างรัสเซีย และมหาอำนาจทางตะวันตกอย่างสหรัฐฯ ที่สนับสนุนยูเครน จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะตลาดทุนที่เกิดความผันผวนขึ้นทันที หากแต่สงครามไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกความเป็นจริงอย่างเดียว ในโลกออนไลน์สงครามไซเบอร์ (Cyber War) กำลังจะเกิดขึ้น
โดยทันทีที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร (Boycott) รัสเซีย เหล่าบรรดา Big Tech ก็ขานรับทันทีไม่ว่าจะเป็น Meta, Twitter, YouTube เป็นต้น ระงับการให้การให้บริการในรัสเซีย หลังจากรัสเซียมีการตัดระบบอินเตอร์เน็ตในยูเครนทั้งหมด นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเตรียมเหล่าแฮกเกอร์จำนวนมาก เพื่อประเมินวิธีการโจมตีทางไซเบอร์ หากรัสเซียต้องการเข้ามาโจมตีทางไซเบอร์เพื่อหาวิธีการป้องกัน รวมถึงการสอดส่องช่องโหว่ที่อาจจะเป็นเส้นทางในการเข้ามาโจมตีสงครามไซเบอร์ (Cyber War)
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ FBI ด้านไซเบอร์ ยังได้ประกาศเตือนธุรกิจของสหรัฐฯ ทั่วโลก ในการเฝ้าระวังและป้องกันการโจมตีจาก Ransomware ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ มักจะกล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์แฮกข้อมูลขนาดใหญ่ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่มีความเชื่อมโยงกับทางรัสเซียโดยตรงก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการเตือนธุรกิจธนาคารของสหรัฐฯ ในการเฝ้าระวังการโจมตีในรูปแบบ Ransomware ทั้งนี้เป็นผลมาจากการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซียในประเทศยูเครน
ทางด้านยูเครนเองมีการจัดตั้ง “กองทัพไอที” โดยเป็นการระดมเหล่าแฮกเกอร์ในประเทศยูเครน ไม่ภารกิจหาช่องโหว่และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซีย รวมไปถึงการตรวจตราความผิดปกติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้กองทัพไอทีของยูเครนยังมีหน้าที่ในการโจมตีระบบไอทีต่างๆ ของรัสเซีย โดยล่าสุดเว็บไซต์ของสำนักงานประธานาธิบดีรัสเซียถูกโจมตีจนต้องออฟไลน์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 31 ธุรกิจหลักของรัสเซียและองค์กรของรัฐ รวมถึง Gazprom ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของรัสเซีย รวมถึงธนาคาร 3 แห่ง หลังธนาคารในยูเครนถูกโจมตีทางไซเบอร์ ก่อนเกิดการปะทะ
