ชัดเจนแล้วว่า TikTok และ WeChat จะถูกแบนออกจาก แอปพลิเคชั่นสโตร์ที่สหรัฐฯ ในวันที่ 20 กันยายนนี้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น WeChat และ TikTok ด้วยข้ออ้างที่ว่าแอปฯ สัญชาติจีนดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าว ประกาศเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ย.ที่ผ่านมา) ซึ่งผลจากคำสั่งดังกล่าว จะแบนเฉพาะแค่การไม่สามารถดาวน์โหลดใหม่ หรือไม่สามารถทำการอัปเดตได้อีกต่อไป อาจเรียกว่าไม่ถือว่าเป็นการแบนแบบเต็มขั้น 100% ทั้งนี้ก็เพื่อให้ บริษัทแม่ ByteDance ได้ต่อลมหายใจเพื่อให้บรรลุข้อตกลงกับผู้ให้บริการที่สหรัฐฯ ให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน
สำหรับ WeChat ดูจะหนักกว่า TiKTok โดยถูกวางกรอบที่หนักกว่าตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนนี้เลย ในขณะที่ผู้ใช้ TikTok ในอเมริกาจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักจนกว่าจะถึงวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งคำสั่งแบนธุรกรรมทางเทคนิคบางอย่างจะเริ่มมีผลบังคับอย่างจริงจัง
ด้าน ByteDance ออกแถลงถึงประเด็นที่เกิดขึ้นว่า “เราไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และรู้สึกผิดหวัง ข้อห้ามการดาวน์โหลดแอปฯ ในวันอาทิตย์นี้ (20 ก.ย.) รวมทั้งการแบนการใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ หลังวันที่ 12 พ.ย.นี้” รวมทั้งยืนยันที่จะคัดค้านคำสั่งนี้ต่อไป โดยระบุว่าเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลจีน โดยกระทรวงพาณิชย์จีน ก็ออกความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า คัดค้านอย่างหนักแน่น พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดการกระทำคุกคามนี้ได้แล้ว
ส่วนเรื่องดีล TiKTok ที่เป็นข่าวฮือฮาไป ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มิได้กล่าวอะไรที่ชัดเจนนัก โดยระบุเพียงแค่ว่า ควรที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ด้าน วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ บอกกับฟ็อกซ์บิสสิเนสว่า “แอปฯ TikTok แบบเบสิค จะยังสามารถใช้งานได้ไปจนถึงวันที่ 12 พ.ย.นี้”
อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดาวน์โหลดแบน 2 แอปฯ ดังจากจีน มีโอกาสที่จะถูกยกเลิกได้ หากว่า ByteDance และ Oracle สามารถบรรลุข้อตกลงที่ตอบสนองข้อกังวลต่างๆ ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับความปลอดภัยเรื่องข้อมูล users ได้เป็นที่น่าพอใจ
สำหรับคำสั่งแบน WeChat นั้นจะทำให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากระบบการโอนเงิน และการจ่ายเงิน ที่อาจล่าช้าหรือติดขัดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน เป็นต้นไป ทั้งนี้ Tencent Holdings ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปฯ WeChat กล่าวถึงคำสั่งแบนของสหรัฐฯ ว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้า” อย่างไรก็ตาม ก็พร้อมจะหารือกับรัฐบาลอเมริกา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกในระยะยาว
Source : Reuter.com