หนึ่งในเทรนด์ที่นักการตลาด ผู้บริหารหรือคนทำธุรกิจควรต้องรู้เมื่อโลกก้าวจากปี 2023 สู่ปี 2024 เทรนด์ที่นับได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากๆในช่วงที่ผ่านมาก็คือ “เทรนด์เทคโนโลยี” การตามเทรนด์เทคโนโลยีให้ทันทำให้เราสามารถคว้าโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่ๆที่กำลังมาถึง รวมถึงรับมือความท้าทายที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีเหล่านั้นได้
การที่จะมองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเราก็ควรมองผ่าน “แว่น” ของผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศไทยอย่างคุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd. ที่เชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซีและทำธุรกิจบนเทคโนโลยีใหม่อย่าง Blockchain รวมถึง AI อยู่ในเวลานี้ โดยคุณท๊อปได้ให้มุมมองเกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2024 นี้เอาไว้ 3 เทรนด์ด้วยกันนั่นก็คือ
- Artificial Intelligence (AI)
- Digital Asset
- Climate Technology
1.”Artificial Intelligence” ประเด็นใหญ่ในเวทีโลก
Artificial Intelligence (AI) คือเทคโนโลยีที่โลกได้เห็นพลังกันเป็นที่ประจักษ์แล้วในปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งคุณท๊อประบุว่าในปี 2024 นี้เทคโนโลยี AI จะร้อนแรงขึ้นอย่างแน่นอนและจะพัฒนาไปแบบ Exponential ก็ว่าได้เทคโนโลยี AI นี้ก็ยังจะเป็นหัวข้อหลักที่บรรดาผู้นำจากทั่วโลกจะไปพูดคุยกันที่งาน World Economic Forum ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-19 มกราคมนี้ ซึ่งในครั้งนี้คุณท๊อป ก็ระร่วมเดินทางไปประชุม รวมถึงยังมีนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน พร้อมกับคณะรัฐมนตรีอีกหลายสิบชีวิตที่จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยเดินทางไปร่วมประชุมเป็นคณะใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีด้วย
คุณท๊อปเล่าว่าเทคโนโลยี AI เป็นหนึ่งใน Fourth Industrial Revolution (4IR) หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีอื่นๆด้วยไม่ว่าจะเป็น Big Data, 3D Printing, IoT, Internet From The Sky, Digital Asset ซึ่งปกติ WEF จะเลือกนำมาเป็นหัวข้อการพูดคุยแบบทั้งกลุ่ม แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เอา 1 ในเทคโนโลยีเสาหลักของ 4IR อย่าง AI มาหารือกันถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นรวมถึงแลกเปลี่ยนกันถึง Business Model ใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในแต่ละอุตสาหกรรมจากเทคโนโลยีนี้ ซึ่งการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI ในเวที WEF 2024 ก็ชัดเจนว่าเทคโนโลยี AI จะเป็นเทรนด์ที่มาอย่างแน่นอนในปี 2024 นี้
AI สู่เทคโนโลยีกระแสหลักสร้าง Impact กับธุรกิจทุกระดับ
คุณท็อป ระบุว่าเทคโนโลยี AI จริงๆแล้วเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมากว่า 50 ปีแล้วแต่ยังไม่มี impact เพราะเทคโนโลยียังไม่พร้อมแต่เวลานี้เทคโนโลยีพัฒนามาถึงจุดที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงสังคมแล้ว และด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาบนเทคโนโลยีทำให้พัฒนาไปแบบก้าวกระโดดแบบ Exponential
แน่นอนว่าข้อดีของเทคโนโลยี AI ที่มีความาสามารถใหม่ๆมากมายช่วยให้มนุษย์ประหยัดเวลาช่วยเพิ่ม Productivity ในการทำงานให้มีมากขึ้นอย่างมหาศาล ในเรื่องนี้คุณท๊อปช่วยยืนยันว่านับจากนี้ บริษัทที่มีพนักงาน 50 คนจะทำงานได้เท่ากับบริษัทในยุคที่แล้วที่มีพนักงาน 10,000 คน บริษัทที่ใช้ AI จะมีต้นทุนต่ำกว่าบริษัททั่วไปแต่ Performance จะมีมากกว่า Productivity ต่างกันเป็น 10 เท่า สิ่งนี้จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้สู้คู่แข่งได้
ซึ่งในปี 2024 นี้คุณท๊อประบุว่าจะเป็นปีที่ AI จะก้าวเข้ามาสู่การเป็นเทคโนโลยี “กระแสหลัก” (Main Stream) ที่หลายบริษัทจะเริ่มนำมาใช้กันมากขึ้นและในอีก 2-3 ปีข้างหหน้าจะกลายเป็น Mandated หมายถึงทุกบริษัทจะถูก “บังคับให้ต้องใช้” AI เพราะถ้าไม่ใช้ก็จะอยู่ไม่รอด เช่นเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในยุค Internet และ คอมพิวเตอร์
AI ทำให้เกิด Business Model ใหม่และอาชีพใหม่
เทคโนโลยีใหม่ย่อมทำให้เกิด Business Model ใหม่ๆรวมไปถึงอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นซึ่งคุณท๊อปยกตัวอย่างเทคโนโลยี Blockchain และ Internet สองเทคโนโลยีที่ทำให้เกิด Micro Payment ที่คนสามารถโอนเงินหลักร้อยบาทข้ามประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ได้ส่งผลให้เกิดอาชีพใหม่ๆที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลกนี้อย่าง “Nano Entrepreneurship” เป็น Digital Nomad ที่ทำงานให้กับ 10 บริษัทต่อวัน รับงานเป็น Nano Contract รับเงินหลักสิบหรือหลักร้อยบาทต่อชิ้นงานเป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยี AI ก็จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆตามมาอีกมากมายเช่นกัน นอกจากนี้ AI ก็จะช่วยให้เกิด “ความเท่าเทียมกันในเรื่องของ Technical Skill” ทั่วโลกรวมถึงช่วยให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ปกติมนุษย์ใช้สมองคิดแก้ปัญหาด้วยเวลา 50 ปีเช่นการแก้ปัญหา Climate Change ก็จะลดเวลาลงเหลือ 5 ปีได้ เป็นต้น
แน่นอนว่า AI จะทำให้เกิด Business Model ใหม่ๆขึ้นมาได้และจะเกิดขึ้นกับทุกอุตสาหกรรมเช่นการเกิดขึ้นของ Personal Shopper การมี Personal Assistant รวมไปถึง Personal Tutor ในวงการศึกษา ที่จะสามารถสอนด้วยข้อมูลที่เหมาะสม ด้วยความเร็วที่เหมาะสม ด้วย background ที่แตกต่างกัน ความลึกของข้อมูลที่แตกต่างกัน แก้ปัญหาเรื่องทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการพัฒนาด้านการศึกษาได้
ในส่วนของ Bitkub เองก็มีการนำเทคโนโลยีนี้มาสร้าง Business Model ใหม่อย่าง Bitkub Academy ที่เป็น Open Education Platform ที่ใส่เทคโนโลยี “Personal Tutor” เข้าไปสามารถจดจำผู้เรียนและช่วยย้อนบทเรียนที่ยังไม่เข้าใจได้ และจากนั้นก็จะมีเทคโนโลยี “Personalize Chatbot AI Tutor” เพิ่มเติมอีกและจะมีอีกหลายๆ Use Case ที่เราทำขึ้นมาใช้ และเรายังมี “Bitkub AI” ที่จะเป็นโมเดลโซลูชั่น AI โดยนำ Use Case ภายในอย่างเช่นการนำ Conversational AI มาให้บริการด้าน Customer Support ให้สามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติพร้อมบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ไปนำเสนอให้กับบริษัทอื่นๆใช้ในการลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพได้เป็นต้น
Curative AI สู่ Generative AI ที่มาพร้อมกับความท้าทาย
อย่างไรก็ตามพัฒนาการของ AI เองก็จะมาพร้อมกับความท้าทายด้วยเช่นกันโดยคุณท๊อปย้อนไปตั้งแต่ยุคของ “Curative AI” หรือ “Ranking AI” ที่เป็นพลังเบื้องหลังสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ TikTok ที่จะมี หน้าที่ “Maximize Attention” คือทำให้คนติดหน้าจอให้ได้มากที่สุด ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นปัญหาในเวลาต่อมาก็คือสังคมออนไลน์กลายเป็นสิ่งเสพติดทำให้คนสมาธิสั้น รวมไปถึงเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถ Reinforce Believe ให้คนเชื่อในมุมเดียวจากการไถฟีดเจอแต่สิ่งที่ชื่นชอบ
คุณท๊อปเล่าต่อว่า ปัจจุบันมี “Generative AI” ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจากเทคโนโลยี LLM จากการผสมรวมกันของ Data และ Machine Learning ซึ่งในยุคนี้จะเป็น AI ที่มีเป้าหมายต่างออกไปจากยุคเดิมที่ Maximize Attention มากสู่การ “Maximize Intimacy” หรือการสร้างความเชื่อใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น เป็น AI ที่รู้จักเรามากกว่าตัวเราเองเสียอีก ซึ่งในยุคนี้ก็จะมีความเสี่ยงใหม่ๆเพิ่มขึ้นเช่น Fake Everything ที่ใครจะปลอมแปลงเป็นใครก็ได้ในโลกออนไลน์ทั้งหน้าตา น้ำเสียง หรือวิธีการพูดคุย ไปถึงขั้นสามารถอ่านความคิด ล้างสมองหรือสามารถเปลี่ยนความคิดผู้คนได้เลยทีเดียว
AI อาจทำมนุษย์สูญพันธุ์แต่ก็ยังเสี่ยงพัฒนา
คุณท๊อปมองปลายทางของเทคโนโลยี AI เอาไว้ว่า แม้โลกจะมีความเสี่ยงจากการพัฒนา AI ยกตัวอย่างจากผลการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ทั่วโลกที่มองว่าการพัฒนา AI ด้วยความเร็วระดับนี้จะมีโอกาสทำให้มนุษย์สูญพันธุ์อยู่ราว 10% เทียบง่ายๆเหมือนกับการขึ้นเรื่องบิน 10 เที่ยวบินแล้วมีโอกาสที่ 1 เที่ยวบินจะตก ความเสี่ยงนี้อยู่ในระดับที่อาจไม่มีใครกล้าลอง
แต่เหตุผลที่โลกยังพัฒนา AI ต่อไปเพราะตราบใดที่โลกยังเดินไปด้วยระบบทุนนิยมที่มีตลาดเสรีบนโลกไร้พรมแดนอย่าง Internet ผู้พัฒนาหรือบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ที่แข่งขันกันอยู่อย่าง Google หรือ Microsoft ก็ไม่มีใครอยากแพ้ในเกมนี้นั่นเอง ไม่ต่างกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ที่มหาอำนาจต่างไม่อยากยอมแพ้และตกเป็นรองคู่แข่งในเวทีโลกนั่นเอง
2. “Digital Asset” 2024 คือปีทอง
เทรนด์ด้านเทคโนโลยีอีกด้านที่คุณท๊อปบอกว่าจะมาแน่ๆ และต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก็คือ “Digital Asset” หรือสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะคริปโตเคอเรนซี ที่จะครบวงจร 4 ปีซึ่งในปี 2024 จะเป็นปี Golden Year หรือ “ปีทอง” ของสินทรัพย์ดิจิทัลก็ว่าได้ โดยเฉพาะ Bitcoin ที่จะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” ซึ่งจะทำให้คนทั้งโลกกลับมาพูดถึง Bitcoin อีกครั้ง และครั้งนี้จะกลับมาไม่ใช่จากเงินนักลงทุนรายย่อยอีกแล้วแต่จะกลับมาด้วยเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นและเป็นผู้ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้งนั้น เทคโนโลยี Digital Asset จึงจะเป็นโอกาสใหญ่สำหรับหลายๆอุตสาหกรรมเช่นกัน
คริปโตเคอร์เรนซี จะมี Impact กับ GDP ของโลกมากขึ้น
ในอนาคตเทคโนโลยี Digital Asset โดยเฉพาะ คริปโตเคอร์เรนซีจะมี Impact ต่อ GDP ของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคุณท๊อปมองว่าในอนาคตบริษัทต่างๆจะเริ่มเก็บ Bitcoin เอาไว้ในงบดุลของบริษัทมากขึ้น เริ่มต้นจากบริษัทเทคใหญ่ๆเริ่มตั้งแต่ Tesla, Space X, Twitter ไล่ลงมาเป็นบริษัททั่วไป จากนั้นธนาคารของประเทศต่างๆก็จะเริ่มเก็บ Bitcoin เป็นเงินสำรองของประเทศมากขึ้นรวมถึงอาจเป็นหนึ่งใน 5 สกุลเงินที่มี impact ต่อ GDP ของทั้งโลกมากที่สุดที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ใช้ Back สกุลเงิน SDR หรือ Special Drawing Rights (สิทธิการกู้เงินพิเศษ) โดย SDR ก็คือ “เงินสำรองระหว่างประเทศชนิดใหม่” ของ IMF ที่ธนาคารกลางทั่วโลกรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเอาไว้เป็นหนึ่งในสกุลเงินสำรอง
สรุปง่ายๆว่าคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin จะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต ซึ่งคุณท๊อปให้เหตุผลในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือโลก Internet และ Bitcoin ก็เป็นสกุลเงินของโลก Internet ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าในอนาคต bitcoin จะเป็นหนึ่งใน 5 สกุลเงินที่นำไป Back สกุลเงิน SDR ซึ่งการเลือก 5 สกุลเงินนั้นะมีการเลือกกันใหม่ในทุกๆ 5 ปี
3.Climate Technology โอกาสใหญ่ที่จะสร้าง Trillionaire
สำหรับเทรนด์ของ Climate Technology นั้นคุณท๊อปเน้นว่าเป็น “โอกาสที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา และวงการแรกที่สร้าง Trillionaire ได้จะไม่ใช่เทคโนโลยี AI ไม่ใช่ Digital Asset แต่จะเป็น Climate Technology ต่างหาก”
คุณท๊อปให้คำจำกัดความของ “Climate Technology” ที่จะสามารถสร้างมหาเศรษฐีระดับล้านล้านเอาไว้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลด “Green Premium” ที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้ เช่นต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไปทำให้ราคาสินค้าสูงกว่าสินค้าแบบดั้งเดิม หรือความสะดวกสบายที่แตกต่างกันเช่น วงการรถยนต์ที่ปั้มน้ำมันยังสะดวกและรวดเร็วกว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่เทคโนโลยี Green Cement คอนกรีตรักษ์โลกที่หากวันหนึ่งต้นทุนถูกลงราคาแข่งขันได้คนก็จะหันมาใช้ Green Cement กันทั้งหมดทันที
เมื่อ Green Premium หายไปจะพลิกทั้ง Supply Chain
คุณท๊อปขยายความ Climate Technology เพิ่มเติมว่า รถยนต์ไฟฟ้าก็นับเป็น Climate Technology หรือ Green Cement ที่แข็งแรงกว่า Cement ปกติแต่ใช้ Cement ต่อ 1 Unite น้อยลงหากวันนึงมีเทคโนโลยีที่ทำให้ Green Cement ผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า Cement ปกติได้ Supply Chain ก็จะเปลี่ยน กระบวนการผลิตของทั้งโลกจะเปลี่ยนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ถ้ายังเป็นธุรกิจที่ยังทำลายโลกก็จะไม่มีคนปล่อยกู้ให้ นำเข้าส่งออก ก็จะนำเข้าส่งออกไม่ได้สถานบันการเงินใหญ่ๆก็เลือกจะไม่ถือหุ้นธุรกิจที่ไม่ Green เรียกว่าจะถูกกดดันเป็นทอดๆ เรียกว่าจะเป็นการเปลี่ยนจากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเลยทีเดียว
คุณท๊อปทำนายเทรนด์ “Climate Technology” เอาไว้ด้วยว่า ภายในปี 2025 เกิดจุด Inflection Point เหมือนยุคที่กำเนิด iPhone ในเวลานั้นรถยนต์ไฟฟ้าจะราคาถูกลง คนจะเปลี่ยนรถใหม่กันทั้งหมด รถเก่าจะถูกคืนกันทั้งหมด รถจะสามารถอัพเกรดซอฟท์แวร์ได้ ไฟฟ้าจะผลิตได้ด้วยแสงอาทิตย์ ทุกบ้านสามารถผลิตไฟฟ้าได้ฟรี รถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถชาร์จไฟครั้งเดียววิ่งไป-กลับเชียงใหม่ได้ สิ่งนี้คือ “Climate Technology” ที่ทำให้ Green Premium หายไป สิ่งนี้ “นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มากกว่า Digital Disruption เพราะการเปลี่ยนเป็น Digital หากไม่ทำก็จะทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่ง แต่เรื่อง Climate นั้นเป็นการถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนเพราหากไม่เปลี่ยนจะทำธุรกิจไม่ได้เลย เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจริงๆ”
ทั้งหมดนั้นก็คือ 3 เทรนด์เทคโนโลยีที่คุณท๊อป CEO แห่ง Bitkub ได้ให้มุมมองเอาไว้ สำหรับใครก็ตามที่มองเห็นช่องทางก็คว้าโอกาสกับเทคโนโลยีเหล่านี้ที่กำลังมา รวมไปถึงเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะพัฒนาแรงและเร็วขึ้นนับจากนี้เพราะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีบนเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว ปรากฎการณ์ซึ่งคุณท๊อป ระบุว่าเป็นการพัฒนาแบบทวีคูณทุกๆ 2 ปีและเทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้าง Impact กับสังคมและโลกธุรกิจแบบทวีคูณเช่นกัน