เข้าใจ Google Generative Search AI เทคโนโลยีใหม่ของเสิร์ชเอ็นจินอันดับ 1 กับโอกาสสำหรับนักการตลาด

  • 17
  •  
  •  
  •  
  •  

ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างดุเดือดในช่วงปีที่ผ่านมา Google ได้เปิดเผยถึงการทดสอบระบบ Search Generative Experience (SGE) หรือ AI ที่ติดตั้งเข้าไปใน Google Search เสิร์ชเอ็นจิ้นที่มีคนใช้งานมากเป็นอันดับ 1 ของโลก แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลให้มุมมองของนักการตลาดที่มีต่อ Google Search ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจ SGE กันให้มากขึ้น

คุณป็อป Worayud Laisuwan SEO Director จาก GroupM Nexus Thailand

โดยบทความนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหามาจาก เวที Google Generative Search AI: getting ready for big change & big opportunities ที่มีคุณป็อป Worayud Laisuwan SEO Director จาก GroupM Nexus Thailand มาบอกเล่าเอาไว้บนเวทีของงาน FOCAL 2024 เมื่อไม่นานมานี้

Search Generative Experience (SGE) คืออะไร?

Search Generative Experience (SGE) คือวิธีการค้นหาข้อมูลผ่าน Google Search แบบใหม่โดยนำเอาพลังของ AI มาใช้ทำให้ผลการค้นหาที่เป็นข้อมูลที่ชัดเจนตรงประเด็นมากขึ้นและให้ประสบการณ์การค้นหาที่เหมือนคุยกับคนจริงๆ อย่างไรก็ตาม SGE ยังคงอยู่ในช่วงของการทดลองและยังคงรองรับเพียงแค่ภาษาอังกฤษและภาษาสเปนเท่านั้น นั่นหมายความว่าระบบยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาปรับปรุงให้ดีมากขึ้นต่อไปได้

วิธีการทำงานของ SGE หรือ Google Generative Search AI ก็คือ ปกติแล้วเมื่อเรา พิมพ์คีย์เวิร์ด เพื่อค้นหาใน Google เราจะได้ลิงก์จากเว็บไซต์ต่างๆที่มีคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมาให้เรามากมาย แต่ SGE จะใช้ Generative AI สร้างคำตอบสรุปมาจากเว็บไซต์ต่างๆที่เป็นผลการค้นหามา รวมถึงให้ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่บางครั้งเราอาจคิดไม่ถึง ทำให้เราได้ภาพรวมของข้อมูลที่เราต้องการในทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในทุกๆ link ที่ Google ค้นมาให้เราแบบเดิม โดยผลลัพธ์ของ Google Generative Search AI สามารถ “กินพื้นที่ทั้งหน้าจอ” ของเราได้เลย ความเปลี่ยนแปลงนี้คุณป็อป ระบุว่า เป็นการเปลี่ยนแปลง Landscape ของ Search Engine ไปเลยและที่สำคัญก็คือมันกระตุ้นให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลมากยิ่งขึ้น!

สำหรับผลลัพธ์ในการค้นหา Google Search ที่มี SGE นั้นในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงทดสอบและหลายๆคนก็เคยได้เห็นกันไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยการแสดงผลจะมีด้วยกัน 3 รูปแบบก็คือ

  1. No Gen AI Triggerคือ SGE ไม่ทำงานเลยผลการค้นหาแสดง link ต่างๆตามปกติ
  2. Automatic Generationระบบ SGE ทำงานโดย Generate ข้อมูลผผลลัพธ์ด้วย AI โดยอัตโนมัติ
  3. Maunual Clickมีปุ่มให้คลิก Generate เองโผล่ขึ้นมาหากต้องการข้อมูลจาก AI ก็ให้เราคลิก Generate ได้

Google Generative Search AI ที่ถูกกระตุ้นการทำงานจากการค้นหารูปแบบต่างๆ

คุณป็อป ระบุว่าจากการทดสอบด้วยคำค้น 600 คำพบว่า 84% ของคำค้นทั้งหมดกระตุ้นให้ Google Generative Search AI ทำงาน โดยในจำนวนนี้ 58% เป็น Automatic Generation และอีก 26% เป็น Manual Click ข้อมูลนี้จำน่าสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเราแยกคำค้นเหล่านี้ออกเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เรารู้ว่าคำรูปแบบไหนบ้างที่กระตุ้นให้ AI function ทำงานมากที่สุด

คำค้นทั่วไป (generic keyword)

สำหรับคำค้นทั่วไปอย่างเช่น movies video news หัวข้อข่าวต่างๆ กระตุ้นให้ AI function ทำงานขึ้นมาโดยแบ่งเป็น แบบ Autometic 42% และ แบบ Manual 33 %

คำค้นเกี่ยวกับ Commerce AI สนใจมากที่สุด!

คำที่เกี่ยวข้องกับ Commerce หรือเกี่ยวกับการค้าขาย โดยคำเหล่านี้คุณป็อปจำกัดความเอาไว้ว่าเป็นคำค้นที่ Google Search ให้ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ที่เป็นเว็บไซต์ที่ทำให้เกิดการทำธุรกรรมขึ้นก็จะเข้าข่ายคำกลุ่มนี้

จากการทดสอบคำค้นกลุ่ม commerce นี้ก็พบเลยว่า 92% กระตุ้นให้ฟังก์ชั่น AI ทำงาน โดยแบ่งเป็นการทำงานแบบ Automatic มากถึง 72% และอีก 20% ทำงานแบ Manual Click และมีเพียงแค่ 8% เท่านั้นที่ไม่กระต้นฟังก์ชั่น AI ให้ทำงาน นั่นหมายความว่าฟังก์ชั่น Google Generative Search AI นี้จะเปลี่ยนแปลง Lanscape ของการทำ e-commerce ไปอย่างมาก และสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือฟังก์ชั่น AI Search ที่ทั้งทำงานขึ้นโดยอัตโนมัติหรือให้เราคลิกขึ้นเองนั้น จะช่วยให้นักการตลาดขายของได้ง่ายขึ้นด้วย

คุณป็อปให้สังเกตจากการค้นห้าคำว่า Escooter ที่ AI Generate ผลลัพธ์มาให้ซึ่งพบว่า ฟังก์ชั่นนี้พยายามช่วยให้ผู้ใช้งานซื้อของได้ง่ายขึ้น โดยสิ่งที่ AI generate ก็มีตั้งแต่ ข้อมูลสรุปของ Escooter มีการแนะนำ Escooter รุ่นและแบรนด์ต่างๆมาให้ด้วยซึ่งนั่นหมายความว่า นักการตลาดจะต้องทำให้ แบรนด์เข้าไปอยู่ใน ลิสต์ที่ AI แนะนำในผลการค้นหาให้ได้ รวมไปถึงมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่มีการรีวิว Escooter รวมไปถึงสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนที่จะซื้อด้วย

ไม่เท่านั้น บางครั้ง AI ยัง จะแสดงผลลัพธ์การค้นหา เป็นรายชื่อเว็บไซต์ที่สามารถซื้อของที่เรากำลังต้องการมาให้เราเลยทันที ซึ่งในกรณีตัวอย่างก็คือ กล่องขนมแบบผูกปิ่นโตหรือ (Stack Subscription Box) นั่นก็หมายความว่า นักการตลาดหรือแบรนด์เองก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองหรือช่องทางการขายเข้ามาอยู่ในลิสต์นี้ด้วยเช่นกัน

คำค้นชื่อแบรนด์”?

คุณป็อป เล่าว่าผลการทดสอบพบสิ่งที่น่าสนใจก็คือ “ชื่อแบรนด์” ที่พบว่ามีเพียง 65% เท่านั้นที่มีผลให้เกิด AI function ขึ้นมาและในจำนวนนี้เป็นแบบ Manual Click ทั้งหมดไม่มีแบบ Automatic Generate เลย

สำหรับผลลัพธ์ของการ Generate ผลลัพธ์ด้วยชื่อแบรนด์นั้น พบว่าสิ่งนี้ก็สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่ถูกต้องที่ AI ต้องเรียนรู้ และจุดนี้ก็เป็นโอกาสของแบรนด์ด้วยเช่นกันในการแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่สามารถทำให้ข้อมูลที่ AI generate ออกมาถูกต้องแม่นยำ

นอกจากนี้คุณป็อปยังทดสอบโดยเปลี่ยนจากใช้ชื่อแบรนด์ในการค้นหาไปเป็นการ “ตั้งคำถาม” แทนโดยเติมคำว่า “What is” เข้าไปข้างหน้าชื่อแบรนด์ ผลปรากฏว่าผลลัพธ์เปลี่ยนไปคนละเรื่องเลย

ด้วยวิธีการนี้ AI function ทำงานได้ดีขึ้นโดยมีสัดส่วนมากถึง 95% โดยในจำนวนนี้ 84% เป็นแบบ Automatic Generation และอีก 11% เป็น Manual Click มีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็นลิสต์เว็บไซต์แบบเดิม เช่นเดียวกันกับการใช้คำถามกับ คำค้นอื่นๆ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน เมื่อเห็น Data เหล่านี้แล้วตั้งคำถามว่า อะไรที่ไม่ทำให้ AI function ทำงานก็พบว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคำถามที่ฟังก์ชั่นอื่นๆทำงานได้ดีอยู่แล้วเช่น การให้ข้อมูลวันสำคัญ สถานที่ที่มีฟังก์ชั่นแผนที่มาให้ หรือ สภาพอากาศก็มีฟังก์ชั่นพยากรณ์อากาศมาให้เป็นต้น และแน่นอนว่า AI ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ตอบคำถามในเรื่องอ่อนไหวเช่น การเงิน ปัญหาด้านสุขภาพ หรือเรื่องการเมืองบางประเด็นเป็นต้น

6 เรื่องที่นักการตลาดต้องรู้

จากข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้ คุณป็อป บอกว่ามีอยู่ 6 เรื่องที่แบรนด์รวมถึงนักการตลาดต้องรู้และคำนึงถึงนั่นก็คือ

  1. AI ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เราสามารถเรียนรู้ไปกับมันและใช้ความสามารถใหม่ๆของ AI มาเป็นประโยชน์กับเราได้
  2. Content จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับแบรนด์เพราะ Content ต่างๆที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์นอกจากจะเชื่อมโยงเป็นข้อมูลส่งไปถึงลูกค้า และแสดงผลในการค้นหาของ Google แล้ว Google ยังจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปไปสอน AI ก่อนที่จะ Generate ข้อมูลให้คนใช้งาน Google Search ได้เห็นต่อไป
  3. SGE ของ Google จะมีผลโดยตรงกับการพิจารณาข้อมูลก่อนซื้อและส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อในอนาคตแน่นอน
  4. ฟังก์ชั่นใหม่นี้ก็เป็นโอกาสใหม่ๆสำหรับแบรนด์เช่นกันในการใช้ประโยชน์จากวิธีการเลือกข้อมูลไปสร้างผลลัพธ์ของ AI ทำให้แบรนด์หรือสินค้าและบริการของแบรนด์ได้ถูก Generate เป็นคำตอบในการค้นหาต่างๆ รวมไปถึงใช้ประโยชน์ในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ด้วย
  5. ปัจจุบัน SGE ยังคงทำงานได้กับการใช้คำค้นในภาษาอังกฤษ และสเปน เท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาต่อไปและสามารถใช้งานได้ด้วยภาษาอื่นๆรวมไปถึงภาษาไทยด้วยในอนาคต
  6. บางคำค้นก็จะไม่มีทางกระตุ้นฟังก์ชั่น SGE ได้เช่นคำว่า Your money หรือ Your Life หรือ “ประเด็นทางการเมืองละเอียดอ่อน” ต่างๆเป็นต้น

Google Generative Search AI หรือ SGE นับเป็นอีกเทคโนโลยีที่ต้องศึกษาเพราะจะส่งผลกระทบอย่างมากกับทั้งการค้นหารวมไปถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคอย่างที่คุณป็อปบอก ดังนั้นข้อมูลที่คุณป็อปนำมาแบ่งปันนี้จึงเป็นเหมือนประตูบานแรกที่ทำให้เราได้เห็นข้อมูลและการทำงานของ SGE ในเบื้องต้น และเป็นหน้าที่ของแบรนด์และนักการตลาดที่จะลองไปศึกษาเพิ่มเติมว่าจะเปิดประตูบานถัดไปได้อย่างไร? และเร็วที่สุดได้เมื่อใด เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับธุรกิจในอนาคต


  • 17
  •  
  •  
  •  
  •