ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามาสู่ยุคของ AI อย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ เราได้เห็นหลายองค์กรทรานส์ฟอร์มไปสู่ยุค AI และวางเป้าหมายเป็น “AI-First Organization” หรือ “AI-First Company” กันหลายราย สิ่งนี้ทำให้ตำแหน่งผู้บริหารองค์กรก็ต้องปรับตัวตามไปด้วยจนเกิดตำแหน่ง C-Level ใหม่นั่นก็คือ “Chief AI Officer” (CAIO) หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้าน AI มีขอบข่ายหน้าที่ความรับผิดชอบด้าน AI ขององค์กรโดยเฉพาะ ซึ่งสำหรับบทบาทและความสำคัญของตำแหน่ง CAIO นี้เป็นอย่างไรสามารถกลับไปคลิกอ่านกันได้
อ่านเพิ่มเติม ทำความรู้จักตำแหน่ง “Chief AI Officer” (CAIO) C-level ใหม่ในยุค “AI Revolution” สำคัญกับองค์กรอย่างไร ?
การดำรงตำแหน่ง CIAO นั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีหน้าที่แค่การเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่การใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีนี้ยังใหม่อยู่มาก CIAO เองก็จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ให้ผู้บริหารคนอื่นๆได้เห็นด้วยว่าตำแหน่งนี้จำเป็นที่จะแยกออกมาโดยเฉพาะ และบทเรียนเหล่านี้จะสามารถเรียนรู้ได้จากผู้มีประสบการณ์เท่านั้น
ล่าสุดเว็บไซต์ Worklife ก็ได้พูดคุยในเรื่องนี้กับคุณ Katia Walsh อดีต CAIO ที่บริษัท Vodafone รวมถึงบริษัท Levi ผู้ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CDO หนึ่งในคณะผู้บริหารจาก Havard Business School ที่สรุปบทเรียนจากการดำรงแหน่ง CAIO จากประสบการณ์เกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้คนที่กำลังคิดที่จะรับตำแหน่งนี้รวมถึงนายจ้างที่กำลังคิดที่จะมีตำแหน่งใหม่นี้ให้เกิดขึ้นในองค์กรได้ทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน
1. ถ้าไม่เคยทำ Data Analytic ก็ก้าวกระโดดด้วย AI ได้เลย
คุณ Walsh เล่าว่าเธอทำงานที่ Vodafone บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ในประเทศอังกฤษ แต่เริ่มต้นด้วยตำแหน่ง Chief Data Analytic ก่อนที่จะรู้ว่าการ Scale องค์กรให้ยกระดับขึ้นด้วย Data ได้นั้นจำเป็นต้องใช้ AI เข้ามาช่วย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เธอร้องขอให้เปลี่ยนบทบาทไปสู่ CAIO แนวทางที่คุณ Walsh ก็นำไปใช้ที่บริษัท Levi ด้วยเช่นกัน
สำหรับบทบาทของคุณ Walsh ตอนอยู่ Vodafone เธอเล่าว่าเป็นการจัดการข้อมูล สร้างที่จัดเก็บและนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจออกมาให้ได้ ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี Machine Learning และ AI มาใช้ เรื่องนี้คุณ Walsh เล่าว่าสิ่งนี้สร้างความเข้าใจให้กับเธออย่างเป็นธรรมชาติเลยเพราะเธอต้องพัฒนางานแบบเริ่มจากศูนย์จริงๆ
ในช่วง 4 ปีที่ Vodafone คุณ Walsh ช่วยสร้าง Data Scientist ขึ้นมาถึง 500 คน ฝึกฝนคนในองค์กรที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจ Mahine Learning ปรับโครงสร้างการบริหารและยังได้รับรางวัลการันตีมากมายในจำนวนนั้นรวมไปถึง ติด top 10 business AI influencers การมอบรางวัลที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลอังกฤษ
ที่น่าสนใจก็คือคุณ Walsh บอกว่าหลายๆบริษัทพยายามที่จะจ้างคนทำงาน data analytic มามากมายเพื่อตามหลายๆบริษัทให้ทัน แต่เธอกลับมองว่าในเวลานี้ data analytic ทำงานได้แบบ automate มากๆแล้ว และกลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์เด็ดๆที่ AI สามารถทำได้ในเวลานี้
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อนบริษัทส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า data มีคุณค่ามากแค่ไหนสำหรับการนำมาใช้ตัดสินใจในเชิงธุรกิจ แต่เวลานี้หลายๆบริษัทกำลังพยายามเรียนรู้เรื่อง data analytic เพื่อตามหลายบริษัทให้ทัน แต่คุณ Walsh มองว่าด้วยเทคโนโลยีตอนนี้บริษัทไม่ต้องเริ่มจากแบสิกก็ได้ แต่สามารถใช้ AI มาช่วยมาทำ data analytic ได้และนำไปใช้ตัดสินใจได้เลย
2.ไม่ใช้ AI แค่เพื่อให้มี แต่ต้องมีเป้าหมายที่จัดเจนว่าจะใช้เพื่ออะไร?
อีกประเด็นร้อนที่หลายๆองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่พูดถึงและถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในเวลานี้ก็คือ จะทำอย่างไรที่จะนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในองค์กร?
คุณ Walsh เน้นย้ำเลยว่า เรื่องสำคัญที่สุดก็คือการจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในองค์กรต้องไม่ใช่แค่เพื่อให้มี AI เท่านั้น แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และตอบรับกับกลยุทธ์หลักขององค์กร มีประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจและต้องสร้างความแตกต่างได้จริงๆ เพราะหากไม่เป็นแบบนั้นการนำ AI มาใช้ก็จะล้มเหลวลงอย่างรวดเร็ว
คำแนะนำสำหรับใครที่อยากทำงานในตำแหน่ง CAIO คุณ Walsh บอว่าจะต้องถามตัวเองให้ได้ว่าตนเองสนใจอะไร ไม่ใช่แค่ว่าตำแหน่งนี้มันเจ๋ง แต่จะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่า AI จะเข้ามาสนับสนุนองค์กร ต้องอยู่ภายใต้ป้าหมาย วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และตอบสนองต่อคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า พันธมิตร พนักงานหรือผู้ถือหุ้นก็ตาม
คุณ Walsh บอกด้วยว่าตำแหน่งนี้เป็นงานที่ยากแม้แต่การอยู่ในบริษัท Tech เองก็ตามเพราะยังคงมีความสับสนและขาดความเข้าใจในเทคโนโลยี AI อยู่มากในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนส่วนใหญ่จะยังมีความ “กลัว” เทคโนโลยี ดังนั้นหน้าที่ของ CAIO ก็คือต้องมีความเชี่ยวชาญในการทำให้ AI เข้าถึงทุกคนได้ ทำให้เกิดการเรียนรู้และทำให้ AI มีความเชื่อมโยงกับคุณค่าขององค์กรไม่ว่าจะเป็นรายได้ การลดต้นทุน การเรียนรู้ การสร้างการเข้าถึงเพิ่มขึ้น การขยายสัดส่วนองค์กรหรือแม้แต่การช่วยให้คนมีหน้าที่การงานที่ดีขึ้นก็ตาม
3. ถ้ามีคอนเนคชั่นสายเทคจะช่วยได้เยอะ
สำหรับตำแหน่งงานที่มีอยู่แล้วทั่วๆไปการมีเครือข่ายของคนในวงการหรือการมีคนช่วยแนะนำนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับตำแหน่งใหม่และยิ่งเป็นสายเทคด้วยแล้วเรื่องนี้ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก
คุณ Walsh บอกว่าตำแหน่ง CAIO เป็นการผสานรวมกันระหว่างความเชี่ยวชาญด้านเทคและความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ ดังนั้นการมีเครือข่ายคอนเนคชั่นในทั้งสองสายนี้จะช่วยให้การทำงานราบรื่นมากยิ่งขึ้น
เธอยกตัวอย่างช่วงเวลาที่อยู่ที่ Vodafone ว่าการมีคนที่สามารถปรึกษาหารือได้เกี่ยวกับการวิเคราะห์กลยุทธ์ขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก โดยเฉพาะการเข้าไปอยู่กับองค์กรที่มีประวัติมาอย่างยาวนานก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นการการมีเครือข่ายหรือรู้จักคนในวงการที่มีประสบการณ์พบเจอกับความท้าทายแบบเดียวกันมาก่อนได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี
4. ต้องยอมเปลี่ยนแนวปฏิบัติเดิมๆ
เมื่อมีตำแหน่งใหม่ๆอย่าง CIAO ขึ้นมาท่ามกลาง C-Level คนอื่นๆ โดยเฉพาะองค์กรที่มี Chief Data Officer (CDO) รวมถึง Chief Technology Officer (CTO) หรือ Chief Information Security Officer (CISO) อยู่แล้วก็ย่อมเกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นธรรมดาในช่วงเวลาที่ต้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบและบทบาทการทำงานระหว่างกันให้ชัดเจน
แต่คุณ Walsh บอกเลยว่าการทำหน้าที่ CAIO นั้นบางครั้งก็ต้องเปลี่ยนแปลงกฎเดิมๆเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะการที่ CDO จะต้องทำงานภายใต้ CAIO อีกที เพราะว่า CAIO จะต้องทำงานแปลผลจาก Data ของทั้งองค์กร ดังนั้น หากเป็น C-Level ระดับเดียวกันแล้วไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆจริงๆแล้ว งานก็จะยากขึ้นมากๆ
ในขณะที่การทำงานกับ CISO นั้นคุณ Walsh บอกว่าเป็นสิ่งที่ “ต้องทำ” แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นงานที่สำคัญมาก หมายถึงหากไม่สามารถปกป้องข้อมูลให้ปลอดภัยได้ก็หมายถึงไม่สามารถปกป้องลูกค้าได้นั่นเอง ทั้งสองตำแหน่งจำเป็นต้องทำงานจับมือกันทำงานอย่างเหนียวแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และเรื่องนี้ก็ต้องมาจากนโยบายด้านความปลอดภัยและวิธีการทำงานที่ต้องวางเอาไว้อย่างชัดเจนนั่นเอง
คุณ Walsh สรุปว่า การที่จะผลักดันให้เกิด Transformation ได้นั้น จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงกฎบางอย่างที่มีมานานให้ได้เพราะโดยธรรมชาติของการเปลี่ยนผ่านมันก็คือการ disruption แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง information security แล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำแบบเลี่ยงไม่ได้เลย