ข้อมูลถือเป็นเรื่องสำคัญระดับโลกที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลที่ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ดูเหมือนเรื่องพวกนี้จะใช้ไม่ได้ในจีน เมื่อจีนมีเทคโนโลยีในเครื่องสแกนอาวุธสำหรับการดูดข้อมูลมือถือ แถมสามารถติดตามได้ว่าตอนนี้มือถือนั้นอยู่ที่ไหน โดยจีนชี้ว่าใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อความมั่นคง
National Security
ในโลกยุคปัจจุบันที่มือถือเป็นแทบทุกสิ่งของชีวิตคน ตั้งแต่สมุดจดบันทึก ตารางนัดหมาย กระเป๋าเงิน ผู้ช่วยส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นบางประเทศสามารถใช้สมาร์ทโฟนระบุตัวตนได้ นั่นจึงทำให้ข้อมูลในมือถือกลายเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความสำคัญมาก
หลายประเทศมีกฎหมายการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่นั่นใช้ไม่ได้กับที่ประเทศจีน เมื่อมีการยืนยันแล้วว่าประเทศจีนมีการนำระบบดูดข้อมูลประเภทหมายเลข IMEI, Wi-Fi MAC addresses, IMSI และหมายเลข ESN ควบคู่กับการสแกนภาพ 3 มิติและระบบจดจำใบหน้า
ประตูดูดข้อมูล ใครผ่านจีนรู้หมด
เทคโนโลยีการดูดข้อมูลในสมาร์ทโฟนนั้นจะมาอยู่ในรูปของประตูสแกนอาวุธ แบบที่เราคุ้นตาอย่างดีเวลาไปห้างหรือใช้บริการสถานีรถไฟฟ้า (ใช่แล้ว…ช่องสี่เหลี่ยมที่เราต้องเดินผ่านแล้วส่วนใหญ่มันจะร้องแทบทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจ จนหลายคนบ่นว่า “แล้วจะเอามาติดตั้งเพื่อ…?!?!?!”) ซึ่งช่องสี่เหลี่ยมดังกล่าวจะทำหน้าที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กเพื่อตรวจหาโลหะ หากพบโลหะก็จะส่งเสียงร้องเตือนพร้อมด้วยไฟเตือน
ที่จีนเองก็มีเช่นกันแต่ลำหน้ากว่าตรงที่สามารถปล่อยคลื่นสัญญาณ เพื่อจับสัญญาณที่ออกมาจากสมาร์ทโฟนแล้วทำการเชื่อมต่อสัญญาณพร้อมทั้งดูดข้อมูลสำตคัญต่างๆ ของสมาร์ทโฟน โดยข้อมูลดังกล่าวส่วนใหญ่ข้อมูลที่ใช้ในการติดตามว่าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เดินทาไปที่ไหน มีการติดต่อสื่อสารกับใครและอย่างไร โดยจีนเรียกเครื่องดูดข้อมูลนี้ว่า “ประตูข้อมูล”
ไม่เพียงเท่านี้อุปกรณ์ดังกล่าวยังสแกนใบหน้าเพื่อสร้างระบบจดจำใบหน้าลงในฐานข้อมุลและผูกติดกับสมาร์ทโฟนเครื่องดังกล่าว นั่นจะช่วยให้รัฐบาลจีนรู้ว่าสมารทโฟนเครื่องนี้ใครคือเจ้าของ และเจ้าของหน้าตาเป็นเช่นไร กำลังเดินทางไปที่ไหนหรืออาศัยอยู่ที่ไหน ติดต่อกับใครและเรื่องอะไรที่กำลังติดต่อสื่อสาร
เพื่อความมั่นคงของชาติ
แม้ว่าสิ่งที่จีนทำลงไปจะแตกต่างจากหลายประเทศที่ยึดถือเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่าลืมว่าจีนยังคงอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวจีนถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านตะวันตกของประเทศจีน ที่จีนชี้ว่ายังมีกลุ่มกบฎชาวซินเจียง-อุยกูร์ที่มีอิทธิพล
ระบบดังกล่าวจะช่วยให้จีนสามารถติดตาม รวมไปถึงรับทราบแผนการของกลุ่มเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ติดตามนักท่องเที่ยวที่ติด Blacklist ของทางการจีนได้ แม้จะยังไม่มีรายงานว่าจีนได้เริ่มใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว แต่หลายบริษัทเทคโนโลยีของจีนชี้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวพร้อมใช้งาน หากภาครัฐดำเนินการติดตั้ง โดยคาดว่าพื้นที่เชื่อมต่อกับมาเก๊าและฮ่องกง น่าจะเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าว
นอกจากนี้ในปัจจุบันมีการใช้แพลตฟอร์ม Integrated Joint Operations Platform (IJOP) ของตำรวจท้องที่ในการติดตามพฤติกรรมบุคคลที่ต้องสงสัย แต่แพลตฟอร์มดังกล่าวทำได้เพียงการตีความแบบกว้างๆ เช่น การพูดคุยกับเพื่อนบ้านแต่แอบคุยกันที่ประตูหลังบ้าน หรือการใช้งานเครือข่ายเสมือนจริง (VPN) เพื่อแอบติดต่อกัน ถือเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย
หวังว่าประเทศไทยคงไม่ถึงขั้นระดับพี่จีนเขานะ
Source : Abacus News
