ทุกวันนี้เทคโนโลยี “AI” แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนในรูปแบบต่างๆ และนับวันจะยิ่งมีอิทธิพลและบทบาทต่อการดำรงอยู่ของโลกใบนี้และมนุษย์ ซึ่งเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค AI เต็มรูปแบบ ดังนั้นใครที่จะอยู่รอดได้ ทั้งในระดับประเทศ ระดับองค์กร ไปจนถึงระดับบุคคล ในทุกช่วงอายุ ทุกอาชีพ จำเป็นอย่างยิ่งต้องเรียนรู้ ปรับตัวและก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้
ในงานสัมมนา “AI Revolution.. AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ หัวข้อ AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ “คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด” เป็นหนึ่งในวิทยากรหัวข้อนี้ มาแชร์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการไปร่วมงาน World Economic Forum 2023 หรือ Summer DAVOS Forum ครั้งที่ 14 ที่เมืองเทียนจิน สาธารณประชาชนจีน เกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยี AI ที่จะเข้ามาปฏิวัติสิ่งต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
1. ในปี 2027 ความสามารถหลัก (Core Skills) ของพนักงาน 44% จะถูก Disrupt นั่นหมายความว่าทักษะหลักที่เราทุกคนมีอยู่ในปัจจุบัน จะใช้ไม่ได้ในอนาคต เนื่องจาก AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง AI เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของยุค Forth Industrial Revolution หรือการปฏิวัติอุตสาหรกรมครั้งที่ 4
2. ภายในปี 2030 ประชากรโลก 1 ใน 3 จะต้อง Reskill และ Upskill ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี AI
3. ทักษะที่มนุษย์จำเป็นต้องมีในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า คือ “Soft Skill” เช่น ทักษะการสื่อสาร, ทักษะความเป็นผู้นำ, ทักษะความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการคิดวิเคราะห์, ความใฝ่รู้และไม่หยุดเรียนรู้ แทบไม่ใช่ Technical Skill หรือ Technical Ability ทักษะความรู้และความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในสายอาชีพ เพราะในบางสายงาน AI จะเข้ามาทำแทน และมีประสิทธิภาพทำได้ดีกว่ามนุษย์ เช่น งานพื้นฐานทั่วไป งาน Operation ต่างๆ
4. AI เข้ามาพลิกโฉมอนาคตการศึกษา จะสังเกตได้ว่าที่ผ่านมาระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพดี มักมีระบบการเรียนการสอนที่ครูผู้สอน ดูแลนักเรียนในอัตราจำนวนที่ไม่มากจนเกินไป ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Oxford และมหาวิทยาลัย Cambridge ถือเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เนื่องจากมีจุดเด่นที่ใช้ระบบ Tutoring System อาจารย์ 1 คน ต่อนักศึกษา 1 คน ในขณะที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ อาจารย์ 1 ดูแลนักศึกษา 500 คน
เพราะฉะนั้นการจะใช้ระบบการเรียนการสอนให้ครู 1 คน ดูแลนักเรียน 1 คน จึงไม่สามารถทำได้ในทุกสถาบันการศึกษา เพราะทรัพยากรครูผู้สอนไม่เพียงพอ ต่อจำนวนนักเรียน-นักศึกษา
แต่การมี “AI Teacher” จะช่วยให้การดูแล หรือให้คำปรึกษาแก่นักเรียน – นักศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถเป็น “Personalized AI Teacher” ได้ เช่น AI ช่วยทดสอบความรู้ความเข้าใจต่อนักเรียน – นักศึกษา 1 คน หรือช่วยให้คำแนะนำไอเดียได้แบบ 1 : 1
ขณะเดียวกันทางด้านอาจารย์ หรือครู การมี AI จะช่วยให้ประสิทธิภาพการสอนดีขึ้น เพราะนอกจากนักเรียนมี AI Teacher แล้ว AI จะยังเป็น Personal Teaching Assistance AI หรือผู้ช่วยการสอนส่วนตัวให้กับครู เช่น ช่วยเตรียม presentation ใช้ประกอบการสอน หรือช่วย Train เทคนิคการเรียนการสอนให้กับครู ทำให้มีประสิทธิภาพการสอนดีขึ้น
5. คนจะเรียนผ่าน Open Education Platform มากขึ้น เมื่อ AI มีบทบาท ทำให้ทักษะเดิมๆ ที่มนุษย์เคยเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์จะใช้ไม่ได้ จึงต้องหาทาง Reskill และ Upskill เพื่อปรับตัวและก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง แต่การจะไปลงเรียนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาเรียน 3 – 4 ปี คงไม่เอื้อกับวิถีชีวิตของคนวัยทำงานที่มีภาระหน้าที่มากมาย นี่จึงทำให้ Open Education Platform เช่น Coursera, Khan Academy ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์เหล่านี้ เหมาะกับการพัฒนา Human Capital ที่ทำให้ทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่โลกอนาคตได้
6. คาดการณ์ 5 – 10 ปีข้างหน้า อาจไม่มี “Super App” และ Conversation AI จะสื่อสารกับมนุษย์ ค้นหาคำตอบและเลือกสรรสิ่งที่มนุษย์ต้องการ การเกิดขึ้นของ Super App ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความสะดวก ครบจบในแอปฯ เดียว เพราะก่อนหน้าที่จะเกิด Super App ด้วยความที่โทรศัพท์มือถือ สามารถเปิดใช้งานได้ทีละแอปฯ เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ต้องเข้าๆ ออกๆ แอปฯ นั้น แอปฯ นี้
เช่น เวลาคนไทยซื้อสินค้าออนไลน์ มีสถิติพบว่าเข้าออกแอปฯ นั้น แอปฯ นี้โดยเฉลี่ย 7 ครั้ง ตั้งแต่ดูสินค้าใน Social Media ที่โพสต์ขายของ จากนั้นใช้แอปฯ ธนาคารเพื่อโอนเงินค่าสินค้าให้กับร้านค้า แต่ก่อนโอนเงินค่าสินค้า กลับไปดูในเพจร้านค้าอีกที เพื่อเช็คราคาและยอดสั่งซื้อที่ถูกต้อง แล้วกลับมาโอนเงิน สลับกันไปมาอย่างนี้ ทำให้ Super App ที่พัฒนาฟีเจอร์ทุกอย่างอยู่ในแอปฯ เดียว มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
แต่แล้วการเกิดขึ้นของ Vision Pro โดย Apple ทำให้ผู้ใช้งานสามรรถเปิด Multiple Window หรือ Multiple Screen ได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน จึงคาดกาณณ์ว่าในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า อาจจะไม่มี Super App และเราจะกลับไปสู่ยุค Single App ก็เป็นไปได้
นอกจากนี้ความก้าวหน้าของ AI ต่อไปจะช่วยมนุษย์ค้นหาสิ่งที่มนุษย์ต้องการที่ดีที่สุดมาให้ โดยที่คนไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งนั้นมาจากแอปพลิเคชันไหน
เช่น ถ้าคนต้องการไปพักผ่อนที่เขาใหญ่ หากเป็นยุคอินเทอร์เน็ต ต้องค้นหาข้อมูลที่พักผ่านออนไลน์ เช่น Search Engine และคลิกลิงค์ทำการจอง
ต่อมายุคที่ 2 ไม่ต้องค้นหาข้อมูลทีละลิงค์เว็บไซต์ แต่เข้าไปที่แพลตฟอร์มจองตั๋วและที่พัก เช่น Airbnb, Agoda จากนั้นกดฟิลเตอร์ เลือกราคา สถานที่โรงแรมที่พัก ระยะเวลาการเข้าพัก โลเคชัน
ขณะที่ในยุคที่ 3 ซึ่งเป็นยุค AI เช่น มีการนำ Conversation AI ที่มีหน้าตาและลักษณะการพูดคุยเหมือนคนจริง มาสื่อสารให้บริการแก่ลูกค้า เช่น พูดว่าจะไปพักผ่อนที่เขาใหญ่ AI จะค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดออกมา นั่นหมายความว่าต่อไปมนุษย์อาจไม่ต้องใช้ Technical Ability หรือความสามารถด้านการค้นหาข้อมูล เพราะ AI จะค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดออกมาให้มนุษย์
7. ผู้นำประเทศต้องมี AI Power มีการคาดการณ์ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรี หรือผู้นำประเทศจะต้องมี AI Power เห็นได้จากในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล มีผลกับการเลือกตั้งมาทุกยุคสมัย จากยุคแรกใครมีป้ายหาเสียง ติดตั้งอยู่ตามถนน บนโลเคชันดี มีคนผ่านไปมา เห็นป้ายหาเสียง เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำ ขณะที่ปัจจุบันไม่ใช่แค่เพียงป้ายหาเสียงเท่านั้น แต่ยังต้องเก่งการใช้ Social Media ด้วย
ส่วนในยุคที่ 3 ใครที่มี AI Power มากที่สุด คือมีความรู้ความเข้าใจด้าน AI ย่อมช่วยสร้างความได้เปรียบ และจะเป็นผู้นำประเทศในยุค AI
8. AI “ความเสี่ยงใหม่” ที่กฎหมายยังตามไม่ทัน! ในขณะที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับมนุษย์ แต่ในอีกด้าน AI ถือเป็นความเสี่ยงใหม่เช่นกัน ซึ่งแตกต่างจากการใช้ AI ในยุคโซเชียลมีเดีย ที่เรียกว่า Curation AI ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำให้ผู้ใช้งานเสพติดคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้นๆ ด้วยการเรียนรู้ว่าคนๆ นั้นชอบอะไร เพื่อคัดสรรในสิ่งที่คนนั้นชอบแล้ว feed ให้ เช่น ชอบฟุตบอล จะมีแต่คอนเทนต์ฟุตบอล ใครทาสหมา ทาสแมว ก็จะมีแต่คอนเทนต์น้องหมาน้องแมว สิ่งที่เป็น Negative Impact ของ Curation AI คือ ทำให้มนุษย์สมาธิสั้นลง
ในขณะที่ปัจจุบันเป็นยุค Generative AI, AI Chatbot และ AI ประเภทอื่นอีกมากมาย โดย AI ไม่ใช่แค่เรียนรู้ว่ามนุษย์คนๆ นั้นชอบอะไร แล้วส่งกลับมาในสิ่งที่ชอบ แต่จะเรียนรู้ pattern แล้วปลอมขึ้นมา จนกลายเป็น “Fake Everything” เช่น ปลอมเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ทั้งหน้าตา บุคลิกท่าทาง น้ำเสียง
รวมทั้งสามารถ “อ่านจิตใจมนุษย์” ได้ ด้วยการสแกนสมอง เช่น ทดสอบให้มนุษย์ดูการ์ตูนสั้นๆ แล้วหลับตา ให้คิดเป็นภาพจากการ์ตูนที่เพิ่งดูไป จากนั้น AI สแกนสมอง จะสามารถอธิบายได้อย่างละเอียดว่าการ์ตูนที่คนนั้นดูมีซีนอะไรบ้าง หรือทดลองให้มนุษย์มองภาพหนึ่ง โดยไม่ได้บอกว่ากำลังดูภาพอะไร และ AI ก็ไม่เห็นด้วยว่าคนๆ นั้นกำลังดูภาพอะไร แต่ AI สามารถบอกได้ว่าคนนั้นกำลังดูภาพอะไร
“เราเพิ่งจะมีกฎหมาย PDPA และกฎหมาย Right to be Forgotten (สิทธิที่จะถูกลืม) แต่การพัฒนาของ AI ปัจจุบันกฎหมายยังตามไม่ทัน เพราะฉะนั้นต่อไปต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ครอบคลุมถึง AI”