นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ทิศทางของ “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย” อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2024 ถือเป็นปีแรกที่หนังไทยมีสัดส่วนรายได้มากถึง 54% แซงหน้าหนังฮอลลีวู้ด ซึ่งอยู่ที่ 38% และหนังอื่นๆ 8% ของมูลค่าตลาดรวมอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทยที่ 4,485 ล้านบาท จากหนังที่เข้าฉายรวม 326 เรื่อง และคาดการณ์ว่าปี 2025 ยังคงเป็นปีทองของอุตสาหกรรมหนังไทย โดยจะมีทั้งหนังใหม่ หนังภาคต่อ และหนังแฟรนไชสดังจ่อคิวเข้าฉาย ไม่ต่ำกว่า 70 เรื่อง
บทความนี้จะชวนไปสำรวจอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทยในรอบ 3 ปี และมุมมองการเติบโตของหนังไทยจาก คุณสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M STUDIO สตูดิโอผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ
อุตสาหกรรมหนังในไทย จากหนังฮอลลีวู้ดครองตลาด พลิกสู่หนังไทยเป็นผู้นำ
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย “หนังฮอลลีวู้ด” ครองส่วนแบ่งการตลาดในด้านสัดส่วนรายได้มากกว่า “หนังไทย” แต่ในปี 2023 เริ่มเห็นสัญญาณจุดเปลี่ยน ทั้งสัดส่วนรายได้หนังไทยขยับเพิ่มขึ้น และจำนวนหนังไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทเพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก M STUDIO รายงานสัดส่วนรายได้ภาพยนตร์ในช่วง 3 ปี (2022 – 2024)
ปี 2022 รายได้หนังไทย 35% : รายได้หนังฮอลลีวู้ด 60% : อื่นๆ 5%
ปี 2023 รายได้หนังไทย 44% : รายได้หนังฮอลลีวู้ด 50% : อื่นๆ 6%
ปี 2024 รายได้หนังไทย 54% : รายได้หนังฮอลลีวู้ด 38% : อื่นๆ 8%
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย ปี 2024 ซึ่งเป็นปีแรกที่สัดส่วนรายได้หนังไทยแซงหน้าหนังฮอลลีวู้ด พบว่า จากภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมมีหนังเข้าฉาย 326 เรื่อง ทำรายได้รวม 4,485 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 36.7 ล้านใบ แบ่งเป็น
– หนังไทยเข้าฉาย 54 เรื่อง คิดเป็นรายได้ 2,438 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 21.1 ล้านใบ
– หนังฮอลลีวู้ด เข้าฉาย 123 เรื่อง คิดเป็นรายได้ 1,694 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 12.4 ล้านใบ
– หนังอื่นๆ เข้าฉาย 149 เรื่อง คิดเป็นรายได้ 353 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 3.1 ล้านใบ
ถ้าดูสัดส่วนหนังไทยและหนังฮอลลีวู้ดที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทในปี 2022 – 2024 พบว่ามีหนังไทยทำรายได้เกินร้อยล้านเพิ่มขึ้น
– ปี 2022 หนังไทย ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 1 เรื่อง : หนังฮอลลีวู้ด ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 8 เรื่อง
– ปี 2023 หนังไทย ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 4 เรื่อง : หนังฮอลลีวู้ด ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 7 เรื่อง
– ปี 2024 หนังไทย ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 8 เรื่อง : หนังฮอลลีวู้ด ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 4 เรื่อง
สำหรับหนังไทยปี 2024 ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท 8 เรื่อง ประกอบด้วย
– ธี่หยด 2 ของ M STUDIO ทำรายได้ 815 ล้านบาท
– หลานม่า ของ GDH 559 ทำรายได้ 339 ล้านบาท
– พี่นาค 4 ของไฟว์สตาร์ ทำรายได้ 178 ล้านบาท
– อนงค์ ของ M STUDIO ทำรายได้ 150ล้านบาท
– วิมานหนาม ของ GDH 559 ทำรายได้ 150 ล้านบาท
– หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด ของ M STUDIO ทำรายได้ 130 ล้านบาท
– เทอม 3 ของสหมงคลฟิล์ม ทำรายได้ 122 ล้านบาท
– วัยหนุ่ม 2544 ของเนรมิตหนัง ฟิล์ม ทำรายได้ 122 ล้านบาท
ส่วนภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท ในปี 2024 จำนวน 4 เรื่อง คือ Dune : Part Two, Deadpool & Wolverine, Inside Out 2 และ Godzilla x Kong : The New Empire
ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของสตูดิโอไทยที่ผลิตและจำหน่ายภาพยนตร์ไทย ปี 2024 ประกอบด้วย
– M STUDIO 54% : จำนวนหนัง 16 เรื่อง ยอดรายได้รวม 1,322 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 11.5 ล้านใบ
– GDH 22% : จำนวนหนัง 5 เรื่อง ยอดรายได้รวม 536 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 3.9 ล้านใบ
– ไฟว์สตาร์ 8% : จำนวนหนัง 1 เรื่อง ยอดรายได้รวม 187 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 1.8 ล้านใบ
– เนรมิตรหนัง 7% : จำนวนหนัง 6 เรื่อง ยอดรายได้รวม 160 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 1.5 ล้านใบ
– สหมงคล 6% : จำนวนหนัง 2 เรื่อง ยอดรายได้รวม 142 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 1.3 ล้านใบ
– อื่นๆ 4% : จำนวนหนัง 24 เรื่อง ยอดรายได้รวม 90 ล้านบาท จำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 9 แสนใบ
คุณสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M STUDIO กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2023 – 2025 ถือเป็นปีทองของอุตสาหกรรมหนังไทย โดยมีจำนวนหนังไทยมีทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าปี 2025 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรมหนังโดยรวม เพราะหลังจากวงการฮอลลีวู้ดชะลอการผลิต ตอนนี้กลับมาพร้อมหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่จะเข้าฉายในปีนี้ ขณะเดียวกันหนังไทยที่จะเข้าฉายในปีนี้ คาดการณ์ว่าประมาณ 70 เรื่อง ทำให้อุตสาหกรรมหนังไทยคึกคักอย่างมาก
“เราอยากให้อุตสาหกรรมหนังไทยเติบโตต่อเนื่อง เวลามองภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม เราฝันว่าอยากให้อุตสาหกรรมหนังไทยเป็น Tollywood ซึ่งวันนี้ตัวเลขโชว์ว่าเมืองไทยก็เป็น Tollywood (Thailand + Hollywood) ได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะปี 2024 และคาดว่าปี 2025 ตอกย้ำว่าหนังไทยเข้มแข็งและเติบโตได้ต่อเนื่อง”
5 ปัจจัยผลักดันหนังไทย ผงาดบนแผนที่โลก
จากสถิติดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงแนวโน้ม “หนังไทย” เติบโตมาตั้งแต่ปี 2023 และเป็นที่พูดถึงในตลาดโลกมากขึ้น ความสำเร็จดังกล่าวยังคงต่อเนื่องมายังปี 2025 นั่นเพราะ
1. สตูดิโอ หรือค่ายผู้ผลิตหนังไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพคอนเทนต์ ขณะเดียวกันคนไทยให้ความนิยมดูหนังไทยมากขึ้น
ผู้บริหาร M STUDIO อธิบายเพิ่มเติมว่า ปีนี้จะมีหนังไทยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประมาณ 70 เรื่อง อุตสาหกรรมหนังไทยกำลังเติบโต ทั้งในฝั่งผู้ผลิต และฝั่งคนดู
“คนไทยให้ความนิยมหนังไทยมากขึ้น จากเฉลี่ยปีหนึ่ง มีหนังไทยทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท 2 เรื่อง แต่ปีที่แล้วมีถึง 8 เรื่อง และที่ผ่านมาในอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทย ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ส่วนแบ่งการตลาดชนะหนังฮอลลีวู้ด ในมุมของหนังไทยถือว่ากลับขึ้นมาแข็งแรงแล้ว แต่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
2. ความหลากหลายของเนื้อหา ไม่ใช่แค่หนังตลก – หนังผี
เมื่อพูดถึงหนังไทย ส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับหนังผี หรือหนังสยองขวัญ และหนังตลก อย่างไรก็ตามหากดูในช่วง 3 ปีนี้ จะเห็นได้ว่าหนังไทยมีเนื้อหาที่หลากหลายขึ้น ซึ่งนอกจากหนังผี, หนังตลกแล้ว ยังมีหนังดราม่า, แอคชั่น รวมทั้งผสมผสานหลายแนวเข้าด้วยกัน
คุณสุรเชษฐ์ เล่าว่าช่วงโควิด-19 ช่วง 3 ปีที่คนต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นหลัก ทำให้ผู้บริโภคเสพคอนเทนต์หลากหลายแนวจากทั่วโลก ทำให้ได้เรียนนรู้คอนเทนต์แปลกใหม่ ส่งผลให้รสนิยม หรือความชอบของคนดูเปลี่ยน เช่นเดียวกับทีมผู้สร้าง ก็ใช้เวลาที่ต้องอยู่บ้าน ศึกษาทิศทางหนังไทยและแนวเนื้อหาที่จะนำเสนอสู่ผู้ชมมากขึ้น เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมหนังไทย จึงมีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นแนวดราม่า, แอคชั่น, แอคชั่น-ดราม่า, ดราม่า-โรแมนติก
“เนื้อหาของหนังไทยจึงไม่ใช่แค่หนังผี – หนังตลกเท่านั้น ผู้สร้างใส่ความคิดสร้างสรรค์หลากหลายแนว ส่วนคนไทยเปิดใจรับหนังทุกแนว”
3. แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เข้าถึงคนดูทั่วโลก
แน่นอนว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ “โรงภาพยนตร์” ยังคงเป็นช่องทางการรับชมหลัก ขณะเดียวกันการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหลาย ทำให้หนังเรื่องนั้นๆ เข้าถึงคนดูได้กว้างขึ้น และเป็นอีกหนึ่งรายได้ ซึ่งเรื่องไหนที่ได้รับความนิยม และเป็นที่พูดถึงบนโซเชียลมีเดีย จะยิ่งทำให้ความนิยมและฐานคนดูหนังเรื่องนั้นๆ กระจายทั่วโลก
อย่าง “ธี่หยด ภาคแรก” หลังจากเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และประสบความสำเร็จด้านรายได้ 500 ล้าน ได้นำไปฉายบน Netflix ครอบคลุม 190 ประเทศทั่วโลก และสามารถติด Top 10 หนังที่มีผู้รับชมมากที่สุดของ Netflix ทั่วโลก
4. บุกตลาดต่างประเทศ
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้หนังไทยเป็นที่รู้จักและพูดถึงกันมากขึ้นในตลาดต่างประเทศ คือ การรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ผลักดันหนังไทยไปฉายประเทศต่างๆ
คุณสุรเชษฐ์ เล่าว่าเมื่อหนังไทยเติบโตกับตลาดในประเทศต่อเนื่อง สิ่งที่ตามมาคือ หนังไทยจะเติบโตในต่างประเทศด้วยเช่นกัน เพราะปัจจุบันอะไรที่นิยมในไทย ความนิยมนั้นก็กระจายไปทั่วภูมิภาคนี้ ในเวลาเดียวกันอะไรที่นิยมในต่างประเทศ ก็นิยมในไทยด้วย เพราะทุกวันนี้โลกเชื่อมต่อกันด้วยโซเชียลมีเดีย ดังนั้นปัจจุบันหนังไทยได้รับความนิยมในต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เกิด Multiplier effect
“ในเทศกาลภาพยนตร์ 20 ปีที่ผ่านมา ต่างประเทศไม่ได้นิยมหนังไทยมากนัก และเดิมทีหนังไทยขายได้ 2 – 3 ประเทศ แต่ในช่วง 3 ปีมานี้ ถ้าไป Film market ในต่างประเทศ บูธที่คนแน่นคือ บูธไทย กับเกาหลี Buyer มาที่บูธไทย อยากซื้อหนังไทย ทำให้เราได้ดีที่ดี ราคาดีขึ้น และจำนวนประเทศที่เอาหนังไทยไปฉายเพิ่มขึ้น ซึ่งทุกวันนี้หนังไทยสามารถขายได้หลายสิบประเทศทั่วโลก อย่างธี่หยดเข้าฉาย 20 ประเทศ และเมื่อหนังประสบความสำเร็จ จะเกิดการบอกต่อ ทั้งให้ทั้งภูมิภาคนี้ ทั้งโลกตื่นเต้นกับหนังไทย”
5. แบรนด์ไทย–แบรนด์ระดับโลก สนับสนุนหนังไทย
อีกปัจจัยที่ผลักดันให้หนังไทยเติบโตคือ แบรนด์ต่างๆ ทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลก สนับสนุนหนังไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลต่องบประมาณการสร้างที่เพิ่มขึ้นตามมา
“ปัจจุบันผู้ชมคาดหวังสูงขึ้นเรื่อยๆ เราเรียนรู้แล้วว่าหนังที่ทำแบบละทิ้งคนดู ไม่ใส่ใจ เป็นไปไม่ได้ เราจะไม่ทำหนังที่ไม่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นความท้าทายตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปคือ การสร้างหนังคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ที่ตอบสนองคนดู
ปีนี้เป็นปีทองของหนังไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2023 – 2024 – 2025) ขณะเดียวกันเรากำลังจะก้าวสู่ความเป็น Global Content วันนี้เราคุยกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เขาอยากได้ Global Content เลือกหนังไทย และซีรีส์ไทย ทำให้ตอนนี้หนังไทยอยู่ในแผนที่ของตลาดโลก” คุณสุรเชษฐ์ กล่าวถึงยุคทองของหนังไทยที่กำลังเติบโตในตลาดโลก
เปิดความสำเร็จ “M STUDIO” และไลน์อัพหนัง 2025
ผลการดำเนินงานของ M STUDIO สตูดิโอผลิตหนังที่จับมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ ช่อง 3 และ คาร์แมนไลน์ สตูดิโอ ร่วมทุนในการผลิตหนังไทย
– ปี 2023 ผลิตหนังไทยและรับจัดจำหน่ายภาพยนตร์ จำนวนรวม 14 เรื่อง แบ่งเป็นผลิตหนังไทย 4 เรื่อง ได้แก่ เสือเผ่น, อาตมาฟ้าผ่า, ลอง ลีฟ เลิฟว์! และ ธี่หยด ขณะที่รับจัดจำหน่ายหนังอีก 10 เรื่อง ทำรายได้รวม 891 ล้านบาท ยอดจำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 9.5 ล้านใบ
– ปี 2024 ผลิตหนังไทยและรับจัดจำหน่ายภาพยนตร์ จำนวนรวม 16 เรื่อง แบ่งเป็นผลิตหนังไทย 7 เรื่อง ได้แก่ หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด, อนงค์, มานะแมน, ศึกค้างคาวกินกล้วย, วัยเป้ง, ธี่หยด 2 และ คุณชายน์ ขณะที่หนังที่รับดูแลการจัดจำหน่ายมี 9 เรื่อง ทำรายได้รวม 1,322 ล้านบาท ยอดจำนวนบัตรชมภาพยนตร์ 11.5 ล้านใบ
สำหรับแผนงานปี 2025 M STUDIO ยังเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ช่อง 3, Workpoint, Mono Group, Kantana, Karman Line Studio และ Plan B ที่จะมาร่วมสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ไทยอีกกว่า 20 เรื่อง งบลงทุนโดยรวม 1,000 ล้านบาท เฉลี่ย 40 – 50 ล้านบาทต่อเรื่อง เช่น
– ธี่หยด 3 ร่วมกับช่อง 3
– นาคี 3 ผลงานการกำกับของออฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
– อนงค์ 2 ของเอส คมกฤษ ตรีวิมล พร้อมนักแสดงนำจี๋ สุทธิรักษ์ และโบ เมลดา
– มือปืน ผลงานมาสเตอร์พีซกับการมาร่วมค่ายของพุฒิพงศ์ นาคทอง
– A Million ways to love การทำงานร่วมกันระหว่างบอย โกสิยพงษ์ และปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ ที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจากภาพยนตร์ ลอง ลีฟ เลิฟว์
– The Stone พระแท้ คนเก๊ ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ของเป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ
– สุสานคนเป็น การกลับมาสู่จอภาพยนตร์อีกครั้งของนุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี โดยทีมงานสร้างซีรีส์เรื่อง สืบสันดาน
– เรียมซิ่ง 2 ร่วมกับยอร์ช ฤกษ์ชัย
– Ghost Board ร่วมกับค่ายสะดวกรัชโยธินของวิสูตร พูลวรลักษณ์
– Exchange เรียน แลก ผี ร่วมกับ Plan B
– Ring a Bell ร่วมกับ Karman Line Studio
– ภาพยนตร์โดยพชร์ อานนท์ 3 เรื่อง ได้แก่ หมู่บ้านโคกะโหลก, หอแต๋วแตก แหกหัวกับไส้, นางฟ้าขาแดนซ์ ระเบียบวาทศิลป์
– นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ทำตลาดรายภาค ปีนี้เตรียมเข้าฉาย 3 เรื่อง ได้แก่ เหมรย 2 ภาคใต้, ป่าช้าผีแขก ภาคใต้, สาปเมือง ภาคเหนือ และขณะนี้อยู่ระหว่างสร้างภาพยนตร์ภาคอีสาน
“M STUDIO ยังคงมุ่งมั่น ที่จะเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไทยอันดับหนึ่ง โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลงานภาพยนตร์ไทยหลากหลายแนวออกสู่ตลาดภาพยนตร์ไทยอย่างต่อเนื่อง และเป้าหมายความสำเร็จการเป็นที่สุดแห่งปรากฏการณ์ภาพยนตร์ไทยจากความสำเร็จในปี 2023 และ ปี 2024 ที่ผ่านมา จากภาพยนตร์เรื่องธี่หยด ที่ทำรายได้กว่า 500 ล้านบาท และธี่หยด 2 ทำรายได้กว่า 800 ล้าน สามารถทำลายทุกสถิติในประเทศไทย โดยมีจำนวนบัตรชมภาพยนตร์ ในประเทศไทยรวมกว่า 10 ล้านใบ
ทาง M STUDIO ไม่หยุดที่จะสร้างสถิติใหม่ และสร้างความหลากหลายกับโปรเจคใหม่ในปี 2025 ต่อไป เพื่อสร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายตลาดการส่งออกภาพยนตร์ไทยไปยังตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น” คุณสุรเชษฐ์ สรุปทิ้งท้าย