ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย มี Market Size เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค ด้วยมูลค่า 9.8 แสนล้านบาท รองจากอินโดนีเซีย 2.73 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันพบว่าไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีอัตราการเติบโต Double Digit เฉลี่ยอยู่ที่ 20% ต่อปี
สะท้อนให้เห็นถึง Supply ทั้งการแข่งขันของแพลตฟอร์มเอง และผู้ขาย รวมไปถึงฝั่ง Demand จากผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันนักช้อปที่น่าจับตามองคือ “Gen Z” นักช้อปรุ่นใหม่ที่มี Purchasing power สูง ที่ไม่เพียงแต่ซื้อสินค้าให้ตัวเอง โดยเฉพาะในหมวดความงาม และแฟชั่นเท่านั้น ยังรับหน้าที่สั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคภายในบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ให้กับครอบครัวด้วยเช่นกัน
เจาะมูลค่าอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปัจจัยหนุน “อีคอมเมิร์ซไทย” ใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาค
LAZADA ประเทศไทย ฉายภาพมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า
1. อินโดนีเซีย: 2.73 ล้านล้านบาท
2. ไทย: 9.8 แสนล้านบาท
3. เวียดนาม: 7 แสนล้านบาท
4. ฟิลิปปินส์: 7 แสนล้านบาท
5. มาเลเซีย: 5.6 แสนล้านบาท
6. สิงคโปร์: 3.5 แสนล้านบาท
ประเทศที่มีอัตราการเติบโต Double Digit คือ ไทย และเวียดนาม สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซไทย โตเฉลี่ย 20% ต่อปี มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
ปัจจัยแรก ความพร้อมของ Infrastructure ทั้งโลจิสติกส์ และระบบชำระเงินที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้ง Cash On Delivery, บัตรเครดิต, Mobile Banking และ e-Wallet ต่างๆ
ปัจจัยที่สอง ผู้บริโภคไทยมีความเป็น Technology Savvy ประกอบกับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศอยู่ในเกณฑ์สูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงสร้างความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยี และการใช้อีคอมเมิร์ซในการซื้อสินค้าต่างๆ ทำให้ทุกวันนี้ช้อปออนไลน์ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย
3 พฤติกรรมนักช้อปออนไลน์ – อีคอมเมิร์ซไทยขับเคลื่อนโดย “นักช้อปผู้หญิง – Gen Z – ประสบการณ์ช้อปแบบส่วนบุคคล”
ขณะที่แนวโน้มใหม่ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขับเคลื่อนโดยนักช้อปผู้หญิง – Gen Z และประสบการณ์ช้อปแบบส่วนบุคคล (Personalized Experience)
– การเพิ่มขึ้นของผู้บริโภครุ่นใหม่ และสัดส่วนของนักช้อปหญิง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแฟชั่น และความงาม
– ในมิติด้านประชากร พบว่านักช้อป Gen Z เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย 35% ของนักช้อป Gen Z ในไทย รับหน้าที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้ทั้งครอบครัว ซึ่งนอกจากซื้อสินค้าความงามและแฟชั่นของตัวเองแล้ว ยังสั่งซื่อสินค้า FMCG ให้กับครอบครัว
นอกจากนี้ยังพบว่านักช้อป Gen Z มี engagement กับร้านค้ามากกว่า Gen อื่นถึง 8 เท่า เช่น เวลาสนใจสินค้า หรือจะซื้อสินค้าอะไรก็ตาม Gen Z จะทักแชทคุยกับร้านค้าโดยตรง
– 71% ของนักช้อป LAZADA ซื้อสินค้าผ่านฟีเจอร์ Recommendation ที่มีเทคโนโลยี AI ในการให้คำแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าตามความชอบ ความสนใจ ความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน
LAZADA ประกาศ EBITDA เป็นบวก ทั้ง 6 ประเทศ – ชู 3 กลยุทธ์สู้ศึกการแข่งขันเดือด!
สำหรับ “LAZADA Group” แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเครือ Alibaba Group ล่าสุดได้ประกาศผลการดำเนินธุรกิจใน 6 ประเทศ สถานะ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) เป็นบวกครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2024
LAZADA มองว่าความสำเร็จดังกล่าว จะเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของอีคอมเมิร์ซ ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ มากกว่าการบรรลุเป้าหมายในระยะสั้น เพื่อมุ่งสู่การเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน
สำหรับประเทศไทย คุณวาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย ฉายภาพว่า LAZADA ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำหนดกลยุทธ์ 3 ด้าน ประกอบด้วย
1. Customer-First ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งเฉพาะบุคคล (Personalized Experience) ให้ดียิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำ และความเหนียวแน่นของนักช้อป
ด้วยการสร้างความแตกต่างใน 3 หมวดหมู่ที่ครอบคลุมสินค้าพรีเมียม, แฟชั่น และความงาม ซึ่งเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น
– LazMall: ขยายพันธมิตรแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ LAZADA และรุกเซ็กเมนต์สินค้าลักชูรี ผ่านหมวดสินค้า LazMall Premium Brand ซึ่งที่ผ่านมายอดขายของ LazMall ในช่วงเมกะแคมเปญ เพิ่มขึ้น 7 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายวันปกติ
– LazBeauty: ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกในไทยมากกว่า 1 ล้านราย
– LazLOOK: ยกระดับสู่การเป็นจุดหมายด้านสินค้าแฟชั่น ผ่านแคมเปญรายสัปดาห์ที่จะเข้ามาสร้างความตื่นเต้น และสีสัให้แก่นักช้อป
นอกจากนี้ยังมีนโยบายคืนสินค้าและคืนเงิน “คืนง่าย คืนฟรี” ครอบคลุมหมวดหมู่สินค้าหลากหลาย และขยายระยะเวลาการคืนสินค้าจาก LazMall เป็นภายใน 30 วัน
2. ลงทุนด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี พัฒนานวัตกรรมและเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมทั้งลงทุนในแคมเปญ การตลาด และเกม เพื่อให้การช้อปสนุกและคุ้มค่ายิ่งขึ้น
– Gamification กลยุทธ์สำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมกับนักช้อป และเพิ่ม Stickiness ให้อยู่กับแอปฯ LAZADA ซึ่งที่ผ่านมา LazGame ได้รับผลตอบรับที่ดีในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นเกมกว่า 1 ล้านคนต่อวัน ซึ่งนักช้อปกลุ่มนี้ใช้งานแอปพลิเคชันนานกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มถึง 3 เท่า และราว 82% กลับมาใช้งานแอปฯ เป็นประจำทุกวัน
– พัฒนาฟีเจอร์ “ถามผู้ใช้งานจริง” (Ask the Buyer) นำเทคโนโลยี AI มาช่วยตั้งคำถามเชิญชวนให้ผู้ซื้อรายก่อนๆ มาร่วมรีวิวสินค้า เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรายใหม่ตัดสินใจง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีการตอบคำถามจากผู้ซื้อจริงไปแล้วกว่า 1.5 ล้านครั้ง
– เมกะแคมเปญ ช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยสูงถึง 3.3 เท่า
3. ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพ SME ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
– พัฒนาโซลูชันการตลาดเพื่อสนับสนุนผู้ขายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ เช่น เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยปรับแต่งรูปภาพ เขียนคำอธิบายสินค้า และให้บริการลูกค้า โดยพบว่าสามารถเพิ่มอัตราการซื้อได้กว่า 30%
– โปรแกรมสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับร้านค้าในทุกกลุ่มและทุกก้าวของธุรกิจ
– พัฒนาบริการเสริมที่จะช่วยให้ผู้ขายนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิงออนไลน์ที่ผสานกับออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ การประกันสินค้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงการนำสินค้าเก่ามาแลกสินค้าใหม่ในหมวดโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
– ความร่วมมือระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซของผู้ประกอบการไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ผ่านโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างแบรนด์ไทยจับมือกับ LAZADA ประเทศไทย เช่น
– LOOKBOOK LOOKBOOK แบรนด์แฟชั่นที่สามารถสร้างยอดขายช่วงแคมเปญใหญ่ของ LAZADA ได้มากขึ้นเกือบ 50 เท่าเมื่อเทียบกับวันธรรมดา
– Her Hyness สกินแคร์พรีเมียมแบรนด์ มีวางจำหน่ายบน LazMall พบว่าผลตอบแทนจากการลงเครื่องมือโปรโมตสินค้าของ LAZADA (LAZADA Sponsored Solutions) สูงกว่า 25 เท่า ซึ่งเป็นแบนด์ที่มียอดขายเทียบกับแบรนด์ต่างประเทศ
– Rally แบรนด์กระเป๋าสัญชาติไทย วางขายสินค้าใหม่เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ LAZADA
“การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซ สำหรับเรามองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะสุดท้ายแล้วประโยชน์ตกอยู่กับผู้ซื้อ และผู้ขาย ทั้งผู้ซื้อได้สินค้าที่มีราคาดี มีโปรโมชั่นจากผู้ขาย ในขณะที่ผู้ขายได้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี เครื่องมือช่วยการขาย และแคมเปญส่งเสริมการขาย ข้อมูลอินไซต์ลูกค้าและเทรนด์ต่างๆ จากแพลตฟอร์ม
ดังนั้นการแข่งขันยังผลักดันให้ LAZADA นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้มากขึ้น ประกอบกับ LAZADA เป็นส่วนหนึ่งของ Alibaba Group ทำให้มข้อได้เปรียบทั้งด้านเทคโนโลยี เช่น AI มาใช้ทั้งฝั่งผู้ขายและผู้ซื้อ และองค์ความรู้ต่างๆ มาปรับใช้
นอกจากนี้เรายังสร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมบน LazMall สินค้าความงามบน LazBeauty และสินค้าแฟชั่น บน LazLOOK โดยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับแบรนด์ ตลอดจนความแข็งแกร่งด้านโลจิสติกส์ ทั้งการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของตัวเอง และเครือข่ายอีกกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ทำให้กว่า 90% ของคำสั่งซื้อในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราสามารถจัดส่งถึงลูกค้าปลายทางได้ในวันถัดไป” คุณวาริสฐา สรุปทิ้งท้าย
