จากสถานการณ์ COVID-19 ต่อเนื่องมาถึงเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูงขึ้น ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อ “สุขภาพจิต” ของคนไทย ทั้งจากภาวะเครียด และวิตกกังวล ทำให้ผู้คนพยายามหาทางบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยวิธีการง่ายๆ เช่น รับประทาน “ขนมขบเคี้ยวกรุบกรอบ” ในระหว่างวัน เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย และผลวิจัยยังพบ Insight ผู้บริโภคอยากให้แบรนด์ต่างๆ ช่วยสร้าง “รอยยิ้ม” และ “เสียงหัวเราะ” ให้กับพวกเขา
“ค่าครองชีพสูง” เพิ่มความเปราะบางทางการเงินครัวเรือนไทย – กระทบต่อสุขภาพจิต
ผลวิจัยโดย “Marketbuzzz” (มาร์เก็ตบัซซ) ในกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งหมด 1,000 คนพบว่า สถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพิ่มความเปราะบางต่อภาวะการเงินของครัวเรือนไทย ซ้ำยังส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสุขภาพจิต และสร้างความเครียดให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง
– 75% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสถานะทางการเงินส่วนบุคคล
– 70% ยอมรับว่าปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ยังได้บั่นทอนสุขภาพจิตอีกด้วย
จากผลการสำรวจยังพบอีกว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการใช้ชีวิตของคนไทย
– 52% คนประสบปัญหารายได้ที่ลดลง ทำให้สภาพคล่องทางการเงินลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มฐานรากที่ได้รับความเดือดร้อนต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จาก COVID–19 และกลุ่มคนวัยทำงานที่มีความสุ่มเสี่ยงจากจำนวนรายได้ต่อเดือนที่ไม่คงที่ เช่น เจ้าของกิจการขนาดเล็ก, ผู้ที่ทำงานอิสระ หรือฟรีแลนซ์
นอกจากนี้ค่าครองชีพที่สูง สร้างปัญหาให้กับครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ, ผู้บริโภคในภาคอีสาน – ภาคใต้ หรือผู้ที่กำลังว่างงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่แล้ว ผลสำรวจพบว่า
– โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดต่อเดือน และมีเงินออมประมาณ 30%
– อย่างไรก็ตามประชากรในภาคอีสาน และภาคใต้ มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาทางการเงินมากกว่าผู้บริโภคในภาคอื่นๆ เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อเดือนสูงถึง 80% ของรายได้
คนไทยใช้เงินไปกับค่าอาหาร – ของใช้ภายในบ้านมากสุด
เมื่อพิจารณาสัดส่วนค่าใช้จ่าย พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ใช้เงินไปกับค่าอาหาร และของใช้ภายในบ้าน มากที่สุดถึง 1 ใน 4 ของรายจ่ายทั้งหมด
รองลงมาเป็นค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำ, ค่า WiFi / อินเตอร์เนท (13%), ค่าช้อปปิ้งของใช้ส่วนตัว หรือการดูแลสุขภาพ ความสวยความงาม (9%) และค่าผ่อนบ้าน, ค่าเช่าบ้าน หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่พักอาศัย (9%) เป็นต้น
– 62% จากกลุ่มตัวอย่างมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการที่สินค้า หรือบริการมีราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน, สาธารณูปโภค หรือการเดินทาง เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เป็นต้น
รัดเข็มขัด – ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย
แล้วคนไทยจะปรับตัวอย่างไรในสภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ?
จากผลสำรวจพบว่าคนไทยได้มีการวางแผนในการรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
– 67% ตั้งใจจะงด หรือลดค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้า หรือบริการที่ไม่มีความจำเป็น
– 50% จะปรับพฤติกรรมในการบริโภค/อุปโภค เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีราคาแพง, ลดการใช้ของต่างๆ ให้น้อยลง
– 43% พยายามซื้อสินค้าหรือบริการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด เช่น คูปอง, แสตมป์, ส่วนลด
มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Marketbuzzz กล่าวว่า ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่เพียงแต่กังวลเรื่องรายได้ที่ลดลงเท่านั้น ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าอาหาร, ค่าสาธารณูปโภค และค่าน้ำมัน
นอกจากนี้ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นอีกว่า ปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลต่อสุขภาพจิต โดย 70% ยอมรับว่าตนเองกำลังประสบกับภาวะเครียด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี, ผู้หญิง, ประชากรในภาคอีสาน, ภาคใต้ หรือเจ้าของกิจการขนาดเล็ก
“การที่คนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นนั้น ท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดภาวะเครียดขึ้น ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงวางแผนที่จะรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยงดการจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ดี วิธีการดังกล่าวก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ในระยะยาว หากปัญหาเรื่องราคายังไม่ได้รับการแก้ไข หรือคลี่คลายในอนาคต
ดังนั้น คนไทยส่วนใหญ่จึงมีมาตรการรัดเข็มขัดการใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ หรือภาวะหนี้ในครัวเรือนอันเนื่องมาจากรายได้น้อยลงซึ่งสวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคไม่สามารถปรับตัวกับการที่รายได้ลดลง ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านั้นจะรู้สึกกดดันในการดำเนินชีวิต และส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมอื่นๆ ตามมาก็เป็นได้”
คนไทยกิน “ขนมกรุบกรอบ” เยียวยาจิตใจ
จากความเครียดและความวิตกกังวลที่คนไทยประสบนั้น ประกอบกับวิถีชีวิตแบบคนเมืองที่เร่งรีบวุ่นวาย ทำให้ผู้คนพยายามหาทางดูแลสุขภาพทางอารมณ์ของตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การรับประทานขนมกรุบกรอบ โดยผลวิจัยผู้บริโภคล่าสุดของ Mintel พบว่า
– คนไทย 77% หันมารับประทานขนมกรุบกรอบ เพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 81% ในกลุ่มอายุ 25-34 ปี
– 76% ของผู้บริโภคไทยมีพฤติกรรมรับประทานขนมกรุบกรอบระหว่างทำงาน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว หรือระหว่างกิจกรรมยามว่างอื่นๆ หรือที่เรียกว่า “ภาวะเคี้ยวไปเรื่อย” เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำ
“การรับประทานขนมกรุบกรอบเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไทยชอบทำเพื่อฆ่าเวลาในระหว่างวัน จากผลการวิจัยผู้บริโภคของ Mintel Global ในปี 2564 พบว่าคนไทยมีการรับประทานขนมกรุบกรอบและเครื่องดื่มแทนอาหารมื้อหลักมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากคนอินเดียเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิก
ความสนใจของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและอารมณ์นั้นช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับแบรนด์ขนมกรุบกรอบต่าง ๆ ในการสื่อสารภาพลักษณ์ของตัวผลิตภัณฑ์และแคมเปญการตลาดในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้สุขภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น” คุณพิมพ์วดี อากิลา นักวิเคราะห์ตลาดอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท Mintel Reports Thailand ขยายความเพิ่มเติม
– ผู้บริโภคไทยจำนวนมากรับประทานขนมกรุบกรอบในโอกาสที่เรียกว่า “we-time” หรือช่วงเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมพิเศษร่วมกับผู้อื่น (54%) รวมไปถึงเวลาที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และคนในครอบครัว และ “me-time” หรือช่วงเวลาที่รู้สึกเบื่อหรือเครียด (45%)
– เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ คนรุ่นมิลเลนเนียล (อายุ 25-44 ปี) จำนวน 59% จำแนกตนเองเป็นคนที่กินแบบ “we-time” ในขณะที่คนรุ่น Gen Z (อายุ 18-24 ปี) จำนวน 58% กินแบบ “me-time” มากกว่า
อย่างไรก็ตามแม้ขนมกรุบกรอบจะช่วยเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์ แต่โซเดียม สารเติมแต่ง และวัตถุกันเสียที่ใส่เข้ามาก็ยังคงขัดกับความต้องการของผู้บริโภคในเรื่อง “อาหารเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” อ้างอิงจากฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Mintel Global (GNPD) ระหว่างเดือนมกราคม 2562 ถึงเดือนธันวาคม 2564 การเปิดตัวของขนมกรุบกรอบที่ทำด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติและไร้สารเติมแต่ง ปราศจากวัตถุกันเสียและสารก่อภูมิแพ้มีเพิ่มมากขึ้น (19%) ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เติบโตขึ้นเช่นกัน (17%)
– การบริโภคขนมกรุบกรอบที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์กรภายนอก อย่างการได้รับตราสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” เป็นที่ต้องการถึง 77% ในกลุ่มผู้บริโภคไทยที่เคยเห็นและทราบว่าตราสัญลักษณ์นี้มีความหมายอย่างไร
“นอกจากการลดลงของส่วนผสมที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพในขนมกรุบกรอบแล้ว (เช่น โซเดียม, สารเติมแต่ง) ผู้บริโภคไทยยังมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อที่จะทำให้รู้สึกผิดน้อยลงเมื่อกินขนมกรุบกรอบ อีกทั้งผู้ที่ชอบทดลองรสชาติใหม่ ๆ เองก็ยินดีจะจ่ายให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น
การเติมสารอาหารเพิ่มเป็นแนวทางหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ ที่แบรนด์สามารถทำเพื่อยกระดับคุณค่าด้านสุขภาพของผลิตภัณฑ์ได้ เห็นได้ชัดว่าการเพิ่มคุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพและการสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ โดยไม่สูญเสียรสชาติที่ดีไปจะเข้ามามีบทบาทในการทำให้ขนมกรุบกรอบเป็นส่วนหนึ่งของการกินเพื่อสุขภาพในหมู่ผู้บริโภคไทย” คุณพิมพ์วดี กล่าวทิ้งท้าย
ผู้บริโภคอยากให้แบรนด์ “สร้างรอยยิ้ม – มีอารมณ์ขัน”
ในขณะที่ผู้บริโภครู้สึกว่าไม่มีความสุข แล้วในมุมของแบรนด์ควรทำอย่างไร เพื่อให้ยังสามารถ Connect กับผู้บริโภค และช่วยบรรเทาความเครียดให้ได้ไม่มากก็น้อย ?
จากงานศึกษาครั้งใหม่ของ Oracle (ออราเคิล) และ เกร็ตเชน รูบิน นักเขียนขายดี 5 สมัยของนิวยอร์กไทม์และนักพูดพอดคาสต์ ระบุว่าผู้คนอยากให้แบรนด์ต่างๆ สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่พวกเขา แต่ผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่กลับยังกลัวที่จะใช้อารมณ์ขันในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
งานศึกษาครั้งนี้สำรวจความคิดเห็นของผู้คนมากกว่า 12,000 รายใน 14 ประเทศ รวมถึงมากกว่า 5,000 รายในเอเชียแปซิฟิก ระบุว่าผู้คนต้องการประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้ยิ้มและหัวเราะได้ และจะตอบแทนแบรนด์ที่ใช้อารมณ์ขันด้วยการภักดีต่อแบรนด์ การบอกต่อ และการซื้อซ้ำสินค้าแบรนด์นั้น และจะเลิกใช้แบรนด์อื่นๆ ที่ไม่มีอารณ์ขันอีกด้วย
ผู้คนในเอเชียแปซิฟิกต้องการความสุขรูปแบบใหม่และยินดีจ่ายเพิ่ม
นับเป็นเวลานานกว่า 2 ปีมาแล้ว ที่ผู้คนไม่เคยได้สัมผัสถึงความสุขที่แท้จริง วันนี้ พวกเขาจึงต้องหาวิธีสร้างความสุขอีกครั้งแม้ว่าต้องจ่ายเงินเพิ่มก็ตาม ต่อไปนี้คือคำตอบส่วนหนึ่งในงานวิจัยครั้งนี้
– 44% ของผู้ทำแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้สัมผัสความสุขที่แท้จริงมานานกว่า 2 ปีแล้ว และ 25% ไม่รู้หรือลืมไปแล้วว่าการมีความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร
– 85% ต้องการประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้พวกเขายิ้มและหัวเราะ ผู้คนในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญมากที่สุดในการใช้สุขภาพ (78%) ความสัมพันธ์ส่วนตัว (77%) และประสบการณ์ต่างๆ (45%) เพื่อการสร้างความสุข
– คนจำนวนมากยอมทิ้งเพื่อน (62%) สละรายได้ส่วนหนึ่ง (61%) ไม่อาบน้ำ (55%) เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพียงเพื่อให้ตนเองได้สัมผัสความสุขที่แท้จริงสัก 1 ชั่วโมง
– ผู้คนในเอเชียแปซิฟิกมากกว่าครึ่ง (56%) อยากให้เงินสามารถซื้อความสุขได้ โดย 81% พร้อมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อความสุขที่แท้จริง
– 89% พยายามหาความสุขด้วยการซื้อของออนไลน์ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาด และ 47% ยอมรับว่าพวกเขามีความสุขในตอนที่ได้รับสินค้าที่สั่งไป
โฆษณา การตลาด การขาย และปฏิสัมพันธ์ของงานบริการลูกค้า ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
– ผู้คนต้องการให้แบรนด์ต่างๆ ทำให้พวกเขายิ้มและหัวเราะ แต่ผู้บริหารธุรกิจกลับกลัวการใช้อารมณ์ขันในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เพราะกลัวถูกเมิน
– ผู้คนในเอเชียแปซิฟิก 76% เชื่อว่าแบรนด์สินค้าสามารถสร้างความสุขให้ประชาชนได้มากกว่าที่ทำอยู่ โดย 91% อยากให้แบรนด์ต่างๆ สร้างความสนุกสนานมากกว่านี้ ซึ่งในจำนวนนี้มีสัดส่วนสูงมากในคน Gen Z (95%) และ Millennials (95%)
– ด้านการโฆษณา: ผู้คนกว่า 89% มีแนวโน้มจำโฆษณาที่ตลกขบขันได้ ถึงกระนั้น ผู้บริหารธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกยอมรับว่าแบรนด์ของตนมีโฆษณาออฟไลน์ (โทรทัศน์และป้ายบิลบอร์ด) เพียง 17% และโฆษณาออนไลน์แค่ 14% ที่ใช้อารมณ์ขันอย่างชัดเจน
– ด้านสื่อสังคมออนไลน์: ผู้คนกว่า 74% จะติดตามแบรนด์ที่สนุกสนานบนช่องทางโซเชียลมีเดีย ถึงกระนั้น มีผู้บริหารธุรกิจเพียง 12% ที่กล่าวว่าแบรนด์ของเขาใช้ความตลกบนสื่อโซเชียล
– ด้านการตลาดผ่านอีเมล: 68% จะเปิดอีเมลจากแบรนด์ที่มีหัวข้อตลกขบขัน ถึงกระนั้น ผู้บริหารธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกเพียง 21% กล่าวว่าแบรนด์ของเขาใช้อารมณ์ขันในแคมเปญการตลาดอย่างจริงจัง
– ด้านการใช้แชตบอต/ผู้ช่วยดิจิทัล: 67% ชอบคุยกับโปรแกรมแชตบอต/ผู้ช่วยดิจิทัล ถ้าสิ่งนั้นคุยด้วยแล้วตลกขบขัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารในเอเชียแปซิฟิกเพียง 24% ที่จะผสานอารมณ์ขันในโปรแกรมการสื่อสารแชตบอต
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผลตอบแทนสูง แต่ผู้บริหารยังไม่กล้าสร้างเสียงหัวเราะ
– ผู้คนพร้อมตอบแทนแบรนด์ที่สร้างอารมณ์ขันด้วยการภักดีต่อแบรนด์ การบอกต่อ และการซื้อซ้ำสินค้าจากแบรนด์นั้น และพร้อมเมินเฉยต่อแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ยอมทำ
– ผู้คน 56% จะไม่รู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์ที่ไม่ทำให้พวกเขายิ้มหรือหัวเราะ และ 49% จะเลิกใช้แบรนด์ที่ไม่ได้ทำให้พวกเขายิ้มหรือหัวเราะไปเลย
– ถ้าแบรนด์ใช้อารมณ์ขัน ผู้คนมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าซ้ำจากแบรนด์นั้น (82%) แนะนำแบรนด์แก่ครอบครัวและเพื่อน (81%) เลือกแบรนด์นั้นมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ (76%) และยอมจ่ายเงินมากขึ้นให้แบรนด์ (67%)
– 90% ของผู้บริหารเล็งเห็นโอกาสที่จะใช้อารมณ์ขันในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเชื่อว่าแบรนด์ของเขาสามารถทำให้ลูกค้ายิ้มหรือหัวเราะได้มากขึ้น
– ผู้บริหาร 76% ยังกลัวการใช้อารมณ์ขันในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
– 87% ของผู้บริหารธุรกิจกล่าวว่าไม่มีข้อมูลเชิงลึกหรือเครื่องมือเพื่อการใช้อารมณ์ขันให้บรรลุผลตามที่ตั้งใจ โดยผู้บริหารจะมั่นใจในการใช้อารมณ์ขันกับลูกค้ามากกว่านี้ ถ้าพวกเขามองเห็นถึงปฏิกิริยาของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น (54%) และเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างปัญญาประดิษฐ์ (37%)
“เรากำลังพยายามก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก และทั่วโลกก็กำลังขาดแคลนความสุข เราจึงพยายามเสาะหาประสบการณ์ที่ทำให้เรายิ้มและหัวเราะ ซึ่งแบรนด์สินค้าสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้
สำหรับแบรนด์ที่ต้องการยกระดับความสุขของกลุ่มเป้าหมาย ต้องเริ่มพิจารณาจากข้อมูลและทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณก่อน ด้วยวิธีนี้คุณจะสามารถนำเสนอส่วนผสมที่ลงตัวของอารมณ์ขัน ลักษณะเฉพาะตัวของแบรนด์ และประสบการณ์ที่จะช่วยเพิ่มความภักดีและการสนับสนุนแบรนด์ได้” มร.เกร็ตเชน รูบิน นักเขียนขายดี 5 สมัยของนิวยอร์กไทม์และนักพูดพอดคาสต์ กล่าว
คุณทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย กล่าวว่า ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการทำให้ผู้บริโภคได้หัวเราะมากขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าสิ่งนี้มีความจำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์อันน่าเชื่อถือ ข้อมูลจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากเพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ มีความเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าของตนชื่นชอบ ผ่านการวิเคราะห์และการกำหนดประสบการณ์ลูกค้าที่เหมาะสม เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้มากที่สุด