กล่าวได้ว่าเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับเป็นเทคโนโลยีในอนาคตที่กำลังจะกลายเป็นจริงในเร็วๆ นี้ เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคดนดลยีและผู้ผลิตรถยนต์เริ่มมีแนวคิดผสานกัน อีกทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ในปริมาณมหาศาลและรวดเร็ว ส่งผลให้รถยนต์ไร้คนขับกำลังจะกลายเป็นเทรนด์ในอนาคต แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นจำเป็นต้องรู้จักเทคโนโลยีนี้เสียก่อน นี่คือ 12 คำถามที่จะทำให้เรารู้จักเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับมากขึ้น
1. คนที่นั่งในรถจะเป็นคนขับหรือผู้โดยสาร?
สำหรับเทคโนดลยียานยนต์ไร้คนขับในปัจจุบันที่กำลังพัฒนาหรือในอนาคตที่จะออกวางจำหน่าย สามารถเลือกได้ว่าจะขับเองหรือใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น การเดินทางที่จะต้องมีการเตรียมตัวระหว่างการเดินทาง ระบบอัตโนมัติเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ในการเดินทางท่องเที่ยวการขับด้วยตัวเองจะให้ความรู้สึกถึงการไปเที่ยวมากกว่า แต่หลายค่ายรถยนต์เชื่อว่าในปี 2030 รถเกือบทั้งหมดจะขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
2. ควรจะเป็นเจ้าของรถหรือไปเช่ารถมากันแน่?
ในปี 2030 รูปแบบการให้บริการรถยนต์สาธารณะจะมีการใช้ยานยนต์ไร้คนขับมากขึ้น ซึ่งหมายความว่ารถยนต์สาธารณะหรือรถส่วนตัวก็จะวิ่งด้วยระบบอัตโนมัติเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นพฤติกรรมของคนที่มีครอบครัวก็ยังมีความต้องการเป็นเจ้าของมากกว่าคนโสดที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง
3. จะยังคงมีอุบัติเหตุรถชนกันอยู่มั้ย?
จากการสำรวจในปี 2008 โดยองค์การบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่า อุบัติเหตุกว่า 93% มาจากความประมาทของคน นี่จึงชี้ให้เห็นว่าหากคนไม่ต้องขับโอกาสเกิดอุบัติเหตุก็จะลดลง เพราะระบบอัตโนมัติจะไม่เมาขณะขับขี่ ระบบจะไม่ซิ่ง เป็นต้น ทั้งนี้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติดังกล่าว จะต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีความแม่นยำในการควบคุมรถยนต์
4. จำเป็นต้องติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้ามั้ย?
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงระบบขับเองอัตโนมัติก็มักจะคิดว่าต้องเป็นระบบที่ติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้หมายความถึงรถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้า 100% ในการเป็นเชื้อเพลิงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงรถยนต์กลุ่มไฮบริดที่สามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้ โดยในอนาคตแบตเตอรี่จะมีราคาถูกลงและจะส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถตั้งราคาที่เหมาะสมได้ โดยมีการคาดการณ์กันว่าในปี 2025 จะมีรถยนต์ที่มีเชื้อเพลิงมีส่วนประกอบของไฟฟ้าอาทิ รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริดอย่างน้อยราวๆ 15%
5. ยังต้องมีการทดลองขับอยู่หรือไม่?
แน่นอนว่ายังคงจำเป็นต้องมีการทดลองรถทุกครั้ง หากแต่สมัยก่อนอาจจะทดลองเรื่องของเครื่องยนต์ว่ามีสะดุดหรือไม่ เครื่องเดินเรียบหรือไม่ แต่การทดลองรถยนต์ที่มีระบบไร้คนขับ จะเป็นการทดลองในรูปของฟังก์ชั่นการใช้งานและวิธีการตั้งค่าต่างๆ การติดตั้งไดร์เวอร์ รวมไปถึงการอัพเดตซอฟท์แวร์มากกว่าการทดลองเรื่องเครื่องยนต์
6. ช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้หรือไม่?
ปัญหารถติดในปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นจากวินัยจราจรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งระบบขับเคลื่อนเองอัตโนมัติจะช่วยลดปัญหาในตรงนั้น ยิ่งหากมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเองอัตโนมัติก็จะช่วยลดปัญหาการจราจรได้ เพราะทุกคันจะมีวินัยจราจรด้วยระบบอัตโนมัติที่เชื่อมต่อถึงกันทุกคัน แม้อาจจะไม่ได้ไปเร็วขึ้นแต่ก็แก้ปัญหาการติดขัดให้น้อยลง แต่สำหรับเมืองไทยอาจยังแก้ไขไม่ได้ 100% เพราะความหลากหลายของชนิดยานพาหนะ
7. ระบบอัตโนมัติจะถูกแฮกเจาะข้อมูลได้หรือไม่?
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีการพูดถึงอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันแน่นอนว่าเทคโนโลยีไร้คนขับจำเป็นต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายอย่างมากในการทำให้ระบบทำงานได้สมบูรณ์แบบ ซึ่งผู้ผลิตหลายค่ายต่างหาวิธีป้องกัน รวมไปถึงการพัฒนาระบบให้มีความยุ่งยากและซับซ้อนหากถูกแฮกขึ้นมา ทั้งนี้ผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีกำลังวางมาตรฐานการป้องกันไว้แล้ว
8. ยังคงต้องทำประกันภัยรภยนต์ไว้หรือไม่?
จากคำถามก่อนหน้านี้ในเรื่องอุบัติเหตุ หลายคนก็คงจะคิดต่อไปว่า เมื่อรถยนต์เทคโนโลยีไร้คนขับไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ การซื้อประภัยคุ้มครองรถยนต์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ซึ่งต้องบอกว่าประกันยังคงมีความสำคัญแม้ว่ารถยนต์จะมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หากแต่รูปแบบหรือแผนการประกันจะเปลี่ยนรูปแบบไป ซึ่งต้องแล้วแต่บริษัทประกันจะคิดรูปแบบการประกันของรถยนต์ไร้คนขับประเภทนี้
9. ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่?
แน่นอนว่าในปัจจุบัน ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติขัดต่อกฎหมายจราจรทุกประเทศบนโลกใบนี้ เนื่องจากกฎหมายจราจรส่วนใหญ่ทั่วโลกจะกำหนดให้ผู้ที่นั่งหลังพวงมาลัยคือผู้ขับขี่ และมีหน้าที่ในการควบคุมรถยนต์ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ดูเหมือนในบางประเทศเตรียมแก้กฎหมายในส่วนนี้ เช่น สหราชอาณาจักร แต่แก้ไขกฎหมายจราจร โดยเฉพาะการจำกัดความคำว่า “ผู้ขับขี่” ใหม่ เพื่อไม่ให้รถยนต์ไร้คนขับขัดต่อกฎหมาย
10. ช่วยลดปัญหาเฉี่ยวชนคนเดินเท้าหรือจักรยานได้หรือไม่?
แน่นอนว่ารถยนต์ที่มีระบบอัตโนมัติจะทำการคุยกันเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ แต่ในกรณีคนเดินและจักรยานนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากระบบฯ ไม่สามารถสื่อสารได้ ที่สำคัญทั้งคนและจักรยานมีขนาดเล็กจนบางครั้งเซ็นเซอร์อาจผิดพลาดในการตรวจสอบ ซึ่งในสิงคโปร์มีการทดสอบระบบกับคนและจักรยาน และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เกิดจากคนที่เดินตัดหน้ารถโดยคาดว่าคนขับจะหยุดให้
11. อะไรที่ช่วยทำให้ระบบมองเห็นการจราจรบนถนน?
ระบบการทำงานของการขับเคลื่อนอัตโนมัติจะอยู่ที่ระบบการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สายเพื่อเชื่อมข้อมุลต่างๆ ที่อยู่ในระบคลาวด์ (Cloud) ผสมผสานกับเทคโนโลยี GPS กล้องและเซ็นเซอร์ ซึ่งยกตัวอย่างจากรถบรรทุกที่มีการทดสอบระบบไร้คนขับไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยระบบจะเชื่อมต่อบข้อมูลแบบเรียลไทม์ นั่นจึงทำให้ระบบสามารถมองเห็นสภาพการจราจรบนถนนในช่วงวลานั้น
12. ใครจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาดนี้?
เนื่องจากรถยนต์ไร้คนขับยังไม่มีการจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการ แถมยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีกมากมายที่เข้ามาเล่น ทั้งที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ๆ ของโลกและบริษัททางด้านไอที ดังนั้นถ้าถามว่าใครจะเป็นเบอร์ 1 ผู้นำในตลาดนี้ คงต้องตอนนี้ยังไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ แนวโน้มความต้องการรถยนต์ไร้คนขับกำลังเป็นที่ต้องการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะต้องมีระบบพื้นฐานด้านอื่นรองรับด้วย เช่น ระบบการสื่อสารความเร็วสูง ระบบดาวเทียม เป็นต้น
Source : The Guaardian