หลังการบุกทะลวงของดิจิทัลจนสามารถ Disrupt โลกทั้งใบให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลแล้ว ต่อไปก็ถึงคิวของ Innovation หรือนวัตกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกใบนี้ และหลายธุรกิจเริ่มมองหานวัตกรรมที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมรถยนต์ที่นวัตกรรมด้านเครื่องยนต์กลายเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตต้องเริ่มค้นหา จากปัจจัยด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลสำคัญในงาน มหกรรมพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561 (Sustainable Energy Technology Asia หรือ SETA) โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง นิสสันและฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน (Frost & Sullivan) องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกกับการวิจัยเรื่อง “อนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย 300 คน
โดยผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่น้อย แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่ละชนิด อาทิ รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), รถยนต์ไฮบริด (Full Hybrid) และรถยนต์นิสสัน อี-เพาเวอร์ (e-POWER) เป็นต้น
นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ว่า ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเพิ่มสูงถึง 44% และหลายคนเตรียมพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าในการวางแผนเพื่อซื้อรถคันต่อไป นั่นเป็นเพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีผลต่อความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของภูมิภาคที่มีความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และมีความพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มขึ้น 50% เพื่อเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ก้าวสู่ยุคของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ประกอบไปด้วย มารตรฐานความปลอดภัย,สถานีชาร์จไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ไม่สูงมาก โดยกว่า 62% ให้ความสำคัญกับเรื่องของของความปลอดภัย ในขณะที่ 58% ต้องการการชาร์จแบตเตอรี่แบบเต็ม (Full Charge) น้อยกว่า 8ชั่วโมง อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำให้เป็นอุปสรรคในการตัดสินใจเลือกรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับ Nissan มีรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันภายใต้รุ่น Leafโดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 340,000 คันทั่วโลก นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ที่เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรก