หลายท่านเกิดมาพร้อมกับกิจการที่รุ่นพ่อแม่หรือรุ่นปู่ย่าตายายสร้างมาไว้ให้ และอีกหลายคนที่เกิดมาพร้อมกับความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจของตัวเองให้ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างเช่นในอดีตที่ผ่าน มีไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีมากที่ต้องเจ๊งปิดกิจการกันไป
นี่คือ 6 พฤติกรรมที่จะเป็นต้นเหตุให้ธุรกิจเดินถอยหลังเข้าสู่อาการ “เจ๊ง” ซึ่งหากเกิด 6 พฤติกรรมนี้ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็หมดสิทธิ์ประสบความสำเร็จแน่นอน และที่สำคัญกว่า 6 พฤติกรรมนี้คือ การรู้จักใช้จ่ายไม่เกินไปกว่าที่หามาได้หรือตามแนวทาง “พอเพียง”
1. เชื่อมั่นสูงแต่ไม่รอบคอบ ธุรกิจพังแน่
สำหรับคนที่จะลงทุนทำธุรกิจ แน่นอนว่าคงต้องมีแผนอยู่ในใจกัยทุกคนรวมถึงเป้าหมายที่จะไป ซึ่งความเชื่อมั่นเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งการเชื่อมั่นตัวเองสูงเกินไปก็อาจจะทำให้ความรอบคอบลดลงไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงสูงและเร็วมาก ฉะนั้นการวางแผนใดๆ ต้องมีความรอบคอบอย่างมาก ว่าต้องไม่มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นมาได้
2. อย่าไปเชื่อเรื่องรวยเร็วเพราะมันโม้
ถ้าไปเดินตามแผงหนังสือจะเห็นเลยว่า มีหนังสือมากมายที่นำเสนอการทำธูรกิจให้รวยเร็ว ลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนมหาศาลอย่างรวดเร็ว ซึ่งทฤษฎีในหนังสือเหล่านั้นอาจเป็นจริง แต่อย่าลืมว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงสูงและเร็วมาก หากไปมองดูคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “เศรษฐี” จะรู้เลยว่าการประสบความสำเร็จต้องใช้ระยะเวลา ต้องผ่านความล้มเหลวและอุปสรรคมาก่อน
3. หวังผลกำไรสูง แต่ลืมดูต้นทุน
เป็นเรื่องปกติที่คนทำธุรกิจจะหวังผลกำไร ยิ่งถ้ามีกำไรสูงๆ เกิน 100% ต่อหน่วยก็จะยิ่งดี แต่ผู้ประกอบการหลายคนก็ถูกผลกำไรที่ใฝ่ฝันบังตาเอาไว้ เพราะอย่าลืมว่าการจะได้กำไรสูงๆ ก็ต้องมีการลงทุนที่สูงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ บุคลากร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศํพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าขนส่ง ค่าเช่า ค่าอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงต้นทุนแฝงอีกมากมาย ซึ่งหากนำต้นทุนเหล่านี้มาหักจากกำไรก็จะเห็นว่าไม่ได้มากมายเท่าไหร่ บางรายอาจถึงขั้นขาดทุนด้วยซ้ำ
4. ตัวแปรที่มองไม่เห็นและคาดไม่ถึง
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าการวางแผนต้องวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม เพราะจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวแปรที่มองไม่เห็นมีอะไรบ้าง ทั้งที่บางครั้งอาจจะวางแผนมาอย่างดี เช่น คู่แข่งที่จู่ๆ ก็กระโดดเข้าสู่ตลาด แถมยังมีศักยภาพสูง หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อธุรกิจและในทางกลับกันอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ รวมไปถึงปัจจัยที่คาดไม่ถึงแต่ภัยธรรมชาติ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งควรจะมีแผนรองรับหรือแผนฉุกเฉินไว้คอยรับมือตลอดเวลา
5. เห็นกำไรก้อนโตจนโลภ เดี๋ยวจะร่วง
หลายคนที่อาจกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจจนสามารถหารายได้และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างมากมาย จนรู้สึกว่าอยากได้มากกว่านี้ แน่นอนว่าการเพิ่มราคาอาจเป็นวิธีที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น แต่จะกลายเป็นแค่กำไรชั่วคราวเพราะสินค้าจะแพงกว่าตลาดทันที บางคนคงราคาเดิมไว้แต่ใช้วิธีลดต้นทุนเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น ยิ่งเป็นการผลักธุรกิจของตัวเองเข้าสู่ปากเหว เพราะนั่นจะทำให้สินค้าไม่มีความคุ้มค่ากับราคา หนักกว่านั้นคือการไม่ทำอะไรรอรับผลกำไรเพียงอย่างเดียว ทางที่ดีควรนำไปลงทุนในสิ่งใหม่เพื่อให้ได้ผลกำไรจากทางอื่นเพิ่มจะดีกว่า
6. ปีกกล้าขาแข็งจะบินแล้ว แต่อาจไปไม่รอด
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า หลายคนอาจทำธุรกิจประสบความสำเร็จแล้ว เห็นเงินก้อนโตที่ถืออยู่ในมือ นำไปลงทุนในสิ่งใหม่เพื่อให้ได้ผลกำไรจากทางอื่นเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมักจะใช้วิธีกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น ลงทุนในพันธบัตร ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือแม้แต่การลงทุนกับกลุ่มสตาร์ทอัพ แต่นั่นอาจเป็นช่องทางไปสู่หายนะ ซึ่งเป็นเป็นเรื่องถูกต้องที่คิดเช่นนั้น แต่ก่อนที่จะไปเช่นควรจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจของตัวเองก่อน เพื่อให้สามารถสร้างผลกำไรและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ก่อนที่จะไปลงทุนในสิ่งใหม่หรือกระจายความเสี่ยง
Source : Entrepreneur