สังเกตกันมั้ยว่าพักหลัง ๆ เวลาเดินเล่นตามห้างหรือไปเที่ยวบางคาเฟ่ ก็เริ่มกลับมาเห็น ตู้สติ๊กเกอร์ (Photo Booth) ในสายตามากขึ้น เชื่อว่าหลายคนที่คุ้นเคยกับเจ้าตู้สติ๊กเกอร์ตั้งแต่วัยซน เมื่อเห็นปุ๊บ ก็ต้องนึกถึงช่วงเวลาในอดีตอันแสนสุขทันที โดยเฉพาะสำหรับบรรดาสาว ๆ ที่เคยแฮงเอ้าท์กับเพื่อนซี้ในสมัยก่อนตามห้าง
ปัจจุบันเทรนด์นี้ดูเหมือนจะเริ่มกลับมาฮิตอีกครั้ง ด้วยความง่ายที่เดินเข้าไปโพสท่าให้ทันภายใน 3 วินาที สามารถชำระเงินได้ง่าย ๆ ก็จะได้รูปสวย ๆ เอาไว้เก็บเป็นความทรงจำ หรือจะเอาไปลงโซเชียลก็ดูน่ารักดี
ซึ่งสไตล์การถ่ายรูปแบบนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ฮิตจากยุค 90 – 2000 ที่ห่างหายไปนาน แต่ทุกวันนี้กลับมาเป็นที่นิยมอีครั้ง เรียกได้ว่าถูกใจวัยรุ่น และยังเป็นธุรกิจมาแรงแห่งยุคอีกครั้งเลยก็ว่าได้
อย่างงานอีเวนท์ หรืองานแต่งงาน มักจะมี Photo Booth เพื่อสร้างกิจกรรมให้ทุกคนสนุกสนาน แถมมาพร้อมกับกรอบน่ารัก ๆ ที่สามารถนำไปตกแต่งไดอารีหรือตามผนังได้อีก ยิ่งทำให้ Photo Booth มีเสน่ห์เข้าไปอีก หลายคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมตู้ถ่ายรูปสติกเกอร์วัยรุ่นในยุค 90 ที่เคยหายไปหลายสิบปีไปถึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง วันนี้ Marketing Oops! จะพาทุกคนย้อนวันวาน และหาคำตอบไปพร้อมกัน
ย้อนวันวานรูปถ่ายจากตู้สี่เหลี่ยม
Photo Booth เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1925 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนักประดิษฐ์ Anatol Josepho ที่ทำเป็นภาพขาวดำ ซึ่งได้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนได้ติดตั้ง Photo Booth รอบเมือง และพัฒนาเทคโนโลยีจนกลายเป็นภาพสี ต่อมาในปี 1995 บริษัท Atlus และ Sega ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนา Photo Booth ขึ้นมาในชื่อว่า “Purikura” ที่มาจากคำว่า Purinto Kurabo ซึ่งเป็นสำเนียงญี่ปุ่น ของคำว่า “Pint Club” จากภาษาอังกฤษ หรือที่คนไทยเรียกกันทั่วไปว่า “ตู้สติกเกอร์” โดยมีลักษณะพิเศษกว่า คือสามารถเลือกกรอบรูป ฟิลเตอร์แต่งหน้า หรือใส่สติกเกอร์ และข้อความได้อีกด้วย
ในยุคนั้นกล้องถ่ายรูปถือว่ามีราคาที่สูง ประกอบกับโทรศัพท์มือถือทำได้เพียงแค่โทรออกกับส่งข้อความ ทำให้การถ่ายรูปตู้สติกเกอร์จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะสามารถบันทึกความทรงจำ และส่งผลให้เป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นยุคนั้นอย่างรวดเร็วจนทำให้กระจายไปทั่วเอเชีย ทั้งไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เวียดนาม รวมถึงวัยรุ่นไทยในยุคนั้นด้วย
2 เหตุผลที่ทำให้ตู้สติกเกอร์กลับมาฮิต
1.ความคลาสสิคของ Photo Booth ทำให้กลับมาจ๊าบอีกครั้ง: แนวคิดย้อนยุค ไม่ได้ขายให้สำหรับคนรุ่น Baby Boomers – Gen x เท่านั้น แต่ยังส่งผลกับคนรุ่นใหม่ทั้ง ทั้ง Gen Y และ Gen Z อีกด้วย เพราะให้ความรู้สึกความคลาสสิก เป็น “เสน่ห์” ที่น่าดึงดูด และด้วยสังคมสมัยนี้ที่รูปที่ถ่ายจากตู้สติกเกอร์แชร์บนโลกซเชียลมีเดีย ยิ่งเป็นการกระตุ้นตลาดรวมถึงทำให้กระแสตู้สติกเกอร์กลับมาพูดถึงอีกครั้ง ในช่วง 1-2 ปีมานี้ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
2.PhotoBooth ยุคปัจจับุนมีความสะดวกขึ้นมาก: ปัจจุบันตู้สติกเกอร์สามารถเข้าถึงได้ง่าย เพราะตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ ร้านค้า รวมไปถึงตามงานอีเวนท์ และที่สำคัญทุกวันนี้สามารถจ่ายเงินผ่านแอปธนาคาร โดยการแสกน QR Code เป็นอะไรที่สะดวกเป็นอย่างมาก และยังไม่หมดเพียงเท่านั้นสามารถโหลดภาพออกมาเป็นไฟล์ดิจิทัล และไฟล์ GiF ไลฟ์แอ็กชั่น เก็บไว้ดูได้เก็บไว้ในมือถือได้ เพื่อแชร์ลงโซเชียลมีเดีย แถวราคายังน่ารักทำให้ทุกคน ๆ เข้าถึงได้ง่าย
Nostalgia Marketing การตลาดที่กระตุ้นความรู้สึกที่โหยหาอดีต (หรือมอบเสน่ห์ของอดีต)
วันวานที่ไม่อาจหวนคืน กับโมเมนต์การถ่ายที่ดูธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเมื่อกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการนำ Photo booth เข้าไปใช้กับงานอีเวนท์ต่าง ๆ ก็เป็นกลยุทธ์การตลาดย้อนยุค หรือ Nostalgia Marketing และในปัจจุบันหลายคนเริ่มกลับมานิยมสิ่งต่าง ๆ ในอดีต อย่างกล้องฟิลม์ แผ่นเสียง หรือการแต่งหน้าแต่งตัววัยรุ่น y2k รวมถึงการกลับมาของตู้ถ่ายรูปตู้สติกเกอร์เหมือนได้ย้อนเวลากลับไป 14 อีกครั้ง
หากมองให้ลึกลงไปตู้สติกเกอร์ไม่ใช่การถ่ายภาพ แต่เป็นการใช้เวลาร่วมกันที่เราได้โพสท่าทางต่าง ๆ ตามใจชอบ นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ก็ถูกพูดถึงอย่างมากในสังคมเป็นอย่างมาก ถ้าให้พูดการตามความจริงสมาร์ตโฟนที่ล้ำหรือแพงขนาดไหนก็ไม่สามารถทำเหมือนตู้สติกเกอร์ได้เพราะ มีผ้ากั้น นั้นเอง
จากผลสำรวจการใช้งานของ Google Trend ที่ผ่านมา พบว่ามีการค้นหาตู้ถ่ายรูป สูงสุดในช่วงปีใหม่และวาเลนไทน์ รวมถึงเทศกาลต่าง ๆ ในปี 2565 และมีหลายคนเสิร์จตู้ถ่ายรูปใกล้ฉัน หมายถึงคนยังไม่ค่อยรู้พิกัดมากนักและต้องการจะหาที่ที่ใกล้ที่สุด จะเห็นได้ว่า Photo booth ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากโลก social media และได้รับความสนใจจากทุก ๆ เทศกาลเลยก็ว่าได้
สุดท้ายนี้ถึงเวลาจะเปลี่ยนแต่ความความคลาสสิกยังคงอยู่ อย่าง Photo boothเอง เป็นเหมือนการย้อนวัยใส่ที่น่าจดจำ…