เริ่มต้นปี 2562 ได้ไม่กี่อาทิตย์ หนึ่งในกลยุทธ์มาแรงข้ามปี และดูว่าจะร้อนแรงมากขึ้นในปีนี้ คือ “Real-time Marketing” ด้วยแนวคิดที่ว่า แบรนด์หยิบเอาสิ่งที่กำลังเป็นกระแสในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรีย์ ข่าวสาร เหตุการบ้านเมือง หรือสิ่งที่โลกสังคมออนไลน์กำลังพูดถึง ฯลฯ นำมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสารออกไป ยิ่งคอนเทนต์ไหน ทำออกมาแล้วโดนใจ เรียกรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะได้ ก็ยิ่งทำให้เกิด “Brand Talk” ในสังคมได้เร็ว และขยายวงกว้างบนสื่อออนไลน์
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม มีกระแสดังในสังคมเกิดขึ้นมากมาย เช่น ผลบอลไทย พ่ายอินเดีย 1 : 4, ทีมลวกหมี่หยก – ทีมไม่ลวกหมี่หยก, แต่งชุดไปรเวทไปเรียน หรือล่าสุดกระแสนิตยสารสุดสัปดาห์ หน้าปกคนหล่อขอทำดีปีที่ 12 ที่แบรนด์ต่างๆ หยิบนำมาทำ Real-time Content สะท้อนให้เห็นว่า การตลาดยุคนี้ ต้อง “เร็ว – ถูกจังหวะ – ถูกต้อง” (Speed – Right Time – Correct)
MarketingOops! ได้รวบรวมกฎของการใช้กลยุทธ์ “Real-time Marketing” ประกอบด้วย 8 ข้อสำคัญ ดังนี้
1. ใช้ Data จากสื่อสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ในการจับกระแสที่คนกำลังให้ความสนใจ
2. นำกระแสที่คนให้ความสนใจ ผูกเข้ากับไอเดียของแบรนด์ เพื่อสร้างเป็นคอนเทนต์ที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร
3. “Real-Time Marketing” เป็นส่วนหนึ่งของ Marketing Strategy ดังนั้นคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ขึ้น ต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ของแบรนด์ และแก่นของแบรนด์ (Brand Essence)
4. ก่อนทำ “Real-Time Marketing” แบรนด์ควรมีวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย (Objective) ชัดเจนก่อนว่าอยากเล่าอะไรให้กลุ่มเป้าหมายฟัง เพราะไม่เช่นนั้นสุดท้ายแล้วแบรนด์จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการทำ Real-Time Marketing
5. “Real-Time Marketing” ไม่ใช่ Panic Mode ที่แบรนด์ต้องจับทุกกระแสที่เกิดขึ้นในสังคม
6. พื้นฐานของ “Real-Time Marketing” คือ ดึงความสนใจของผู้บริโภคได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะการตลาดยุคนี้ “ความเร็ว” และ “ถูกจังหวะ” เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้าง “การรับรู้” ในแบรนด์ หรือสินค้า และทำให้แบรนด์มี “ตัวตน” ในสังคม แต่แบรนด์ต้องไม่ลืมเรื่องความถูกต้อง-แม่นยำด้วย
7. “Real-Time Marketing” เมื่อผสานกับการใช้กลยุทธ์อื่น เช่น ทำโปรโมชัน จะช่วยให้แบรนด์สามารถปิดการขายได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่า Real-Time Marketing จะเป็นเครื่องมือปิดการขายได้ทุกสินค้า เพราะฉะนั้นต้องดูความเหมาะสม
8. แบรนด์พึงระวัง “ลิขสิทธิ์” และการใช้ “คำ – ประโยค” ที่อาจไปเหยียดคน หรือกระทบสิทธิ และความรู้สึกของคน