MI GROUP (Media Intelligence Group) ในฐานะมีเดียเอเยนซีและที่ปรึกษาด้านการตลาดและสื่อสารการตลาด เปิดเผย ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน 2565 (อ้างอิงข้อมูลจาก Nielsen และ DAAT) มีตัวเลขการใช้สื่อโฆษณาคิดเป็นมูลค่ารวม 60,739 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.86% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยแบ่ง ดังนี้
- TV 24,864 ล้านบาท
- Internet 19,816 ล้านบาท
- Out of Home 7,593 ล้านบาท
- สื่ออื่นๆ รวม 5,466 ล้านบาท (Cinema, Magazines, Newspapers และ Radio)
คาดมูลค่าโฆษณาเติบโต 7.4% สิ้นปี 2565
มูลค่ารวมการใช้สื่อจนถึงสิ้นปี 2565 คาดว่าจะจบปีที่ 81,813 ล้านบาท เติบโต 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 แบ่งเป็นสื่อ
- TV 37,598 ล้านบาท
- Internet 26,623 ล้านบาท
- Out of Home 10,105 ล้านบาท
- Radio 2,656 ล้านบาท
- Cinema 2,462 ล้านบาท
- อื่นๆ รวม 2,369 ล้านบาท (Newspapers และ Magazines)
ส่วนในปี 2566 มีการประมาณการไว้ว่า มูลค่าการใช้สื่อจะเพิ่มขึ้นเป็น 85,220 เติบโตเพิ่มขึ้น 4.2% แบ่งเป็น TV 44.6%, Internet 33.2% และ Out of Home 13.5% และสื่ออื่นๆ รวม 8.7% ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยที่ผันผวน รวมไปถึงทางสถานการณ์ทางการเมืองด้วย และคาดว่า 3 สื่อที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ก็คือ “TV, Internet และ Out of home”
A Trusted Advisor การก้าวสู่การเป็นมากกว่า Solution Providers
นอกจากนี้ จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดและการผันผวนของเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อสามารถเป็นคำตอบให้กับแบรนด์และธุรกิจได้ MI GROUP ในฐานะมีเดียเอเยนซีและที่ปรึกษาด้านการตลาดและสื่อสารการตลาด ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบโจทย์การทำงานร่วมกับลูกค้าได้แบบ Total Business Solution ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารการตลาดในภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป MI GROUP ได้ประกาศวิสัยทัศน์เชิงรุกมุ่งสู่ A Trusted Advisor เป็นเพื่อนคู่คิดและเป็นที่ปรึกษาที่คุณไว้ใจ ด้วยจุดแข็งในการเป็น Solution Providers ให้กับลูกค้า ที่พร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาด้วยข้อมูลและเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดใหม่ๆ
ภวัต เรืองเดชวรชัย, PRESIDENT & CEO, MI GROUP กล่าวว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา MI GROUP เริ่มมีการปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเองไปสู่จุดยืนใหม่ จากจุดแข็งเดิมที่เป็น Massive Scale Media Agency แต่ปัจจุบัน Positioning ของ MI GROUP คือการเป็น Solution Providers ให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่ในมุมของการวางแผนกลยุทธ์สื่อและราคาสื่อ แต่เรายังเป็น Trusted Advisor ให้กับลูกค้าในมุมที่รอบด้านมากขึ้น เช่น การสื่อสารทางการตลาดในรูปแบบที่สอดคล้องกับภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไปอย่างมาก (Changing Media Landscape) เช่น การทำ Branded Content, การทำ Affiliate Marketing กับ KOLs (Key Opinion Leaders หรือ Influencers), การเริ่มต้นจากการนับ1 ร่วมกันในการออกแบบ และการผลิต Contents ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและลูกค้า (Advertisers) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับทุกฝ่าย (Content Development & Content Ownership), การช่วยหาข้อมูลในตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในด้านการตลาด สื่อสารการตลาด และการกระจายสินค้า (New Distribution Channel) เป็นต้น
MI Bridge สร้างโอกาสแบบ New S-Curve ให้กับแบรนด์ไทยสู่การเข้าถึงน่านน้ำใหม่
มากไปกว่านั้นยังมองเห็นเทรนด์ของผู้ประกอบการแบรนด์ไทยที่ให้ความสำคัญกับการขยายตลาด และสื่อสารการตลาดไปยังตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบ CLMV จึงเป็นเหตุผลให้ทาง MI GROUP เน้นการขยายตลาดต่างประเทศไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV มาตั้งแต่ปี 2557 จากความต้องการในการขยายตลาดของลูกค้าไทยขนาดกลางและขนาดใหญ่ (Thai Entrepreneurs) พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก Media Intelligence CLMV เป็น MI Bridge ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบรนด์ไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย
วิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP กล่าวถึง เป้าหมายของการก่อตั้ง MI Bridge ว่า เป้าหมายแรกคือ เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมสำหรับแบรนด์และธุรกิจไทยไปยังตลาดต่างประเทศ และเป้าหมายที่ 2 คือการเสริมความแข็งแกร่งของ MI Bridge ในแต่ละประเทศ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปยัง International Brands รวมไปถึง Local Brands ของประเทศนั้นๆ ด้วย โดยมีเป้าหมายต่อไปอาจเป็นการก่อตั้ง MI Vietnam, MI Cambodia เหมือนที่ได้ก่อตั้ง MI Myanmar มาแล้ว และที่ผ่านมา MI Myanmar ก็แข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการของ Thai Brands, International Brands และ Local Brands ในจำนวนมากได้
ทั้งนี้ MI Bridge ยังคงเหมือนเดิมคือความเป็น Trusted Advisor ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Trusted Partner Delivering World-Class Services with True Local Insights พร้อมกับดำเนินการผ่าน 2 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1) การเข้าร่วมสมาคมนักธุรกิจไทยในประเทศต่างๆ เพื่อเข้าไปแนะนำตัว พร้อมนำเสนอแนวคิดในเชิงสังสรรค์ การแชร์ความรู้ และข้อมูลทางธุรกิจต่างๆ เพื่อต่อยอดกันไปมา และ 2) สร้างผลงาน สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบอกต่อ (Word of Mouth) กันโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างของกลุ่มลูกค้าที่ถือเป็น Success Story ของ MI GROUP คือการทำงานร่วมกับ The Mall Group กับโจทย์ที่ท้าทายของการดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ให้การปักหมุดมาไทยต้องมาเที่ยวห้างในเครือ The Mall Group โดยต้องทำการสื่อสารตั้งแต่ก่อนออกเดินทางมาไทยด้วยซ้ำ และลูกค้าอีกราย ได้แก่ Bangkok Airways ที่มีเส้นทางการบินหลายประเทศ ทั้งในและนอกภูมิภาค MI Bridge เข้ามาลด pain-point ที่เมื่อก่อนมีความลำบากที่ต้องใช้ local partners ในแต่ละประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ MI Bridge สามารถเป็น one stop service ให้ได้ และยังยกระดับการทำงานให้เทียบเท่าระดับสากลที่มาจากความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นอย่างแท้จริง
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ MI Bridge ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด โดยปีหน้า 2023 ทาง MI GROUP คาดว่า สัดส่วนรายได้จาก MI Bridge จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด และ MI Bridge จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ลูกค้าไทยสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจในตลาดต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความท้าทายสำหรับ MI Bridge เป็นอย่างมาก
MI Learn Lab ตอบโจทย์เรื่อง Marketing Insights
นอกเหนือจากการเปิดยูนิตใหม่แล้ว อีกหนึ่งยูนิตที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นจิกซอว์สำคัญในการเป็นแหล่งข้อมูลทางด้านการตลาดให้กับพันธมิตรของ MI Group ด้วยชุดข้อมูลที่ได้ผ่านการวิเคราะห์เจาะลึกด้วยมุมมอง ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของ MI GROUP ภายใต้รูปแบบการทำงานของโครงการ MI Learn Lab
MI Learn Lab เป็นหน่วยงานใหม่ที่ MI GROUP จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลที่ได้จาก Marketing Tool ใหม่ๆ และช่วยส่งมอบข้อมูลในเชิง Marketing Insights ที่เป็นประโยชน์ให้กับพันธมิตรต่างๆ ของ MI GROUP โดยเฉพาะลูกค้า คู่ค้า และสำนักข่าว/สื่อต่างๆ นอกจากนี้ MI Learn Lab ยังมองไปถึงการเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง SMEs ผ่านการจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอองค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับ SMEs โดยเฉพาะอีกด้วย
ภายใต้กรอบการทำงานของ MI Learn Lab จะมีทั้งชุดข้อมูลที่ปรับปรุงทุกเดือน เช่น มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาของตลาดประเทศไทย และมีข้อมูลที่เป็น Market Insights ต่างๆ ที่ผ่านการศึกษาข้อมูลแบบเจาะลึกเป็นพิเศษ โดยแต่ละหัวข้อจะเน้นการทำข้อมูลเชิงลึกที่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา MI GROUP มีการเติบโตทางด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นผลจากความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วของ MI GROUP ต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve เช่น Content Ownership Business, International Business Expansion ให้กับลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทย ควบคู่การพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 2020-2021 ที่มีการแพร่ระบาดของ Covid-19 จนส่งผลให้ตลาดมีการชะลอตัวเป็นอย่างมาก เช่น การเพิ่มทักษะ Digital Marketing Communication ให้กับพนักงานที่เกี่ยวข้อง คือ Communication Strategist และ Digital Traders เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการทำตลาดในปัจจุบัน ที่เน้นไปในด้าน ROAS (Return on Ad Spend) หรือที่เรียกว่า Performance Media ให้มากยิ่งขึ้น
นายภวัต ยังมองว่า แม้ว่าผลการดำเนินงานจะมีการเติบโตทางด้านรายได้ 15 – 20% แต่ยังถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์กันไว้เมื่อช่วงต้นปี 2565 (หลังการได้รับวัคซีนของคนไทย และการทยอยเปิดประเทศในช่วงกลางปีที่ผ่านมา) เป็นผลมาจากปัจจัยลบต่างๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตลอดในช่วงไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ เช่น การระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19 สายพันธุ์ Omicron ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ไปจนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังซบเซา เป็นต้น