Kantar บริษัทวิจัยชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก ออกรายงาน Who Cares, Who Does 2021 โดยสัมภาษณ์ผู้บริโภคราว 90,000 คน ใน 26 ประเทศรวมทั้งประเทศไทย คาดการณ์ตลาดของชำที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า
รายงาน Who Cares, Who Does งานวิจัยเกี่ยวกับความยั่งยืนครั้งใหม่จาก Kantar พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า เด็กๆ เป็นผู้มีอิทธิพลที่สำคัญที่สุดในการทำให้พฤติกรรมการจับจ่ายของในครัวเรือนมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือน (49%) กล่าวว่าการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้ความยั่งยืนมีความสำคัญต่อพวกเขามากขึ้น ครัวเรือนที่เป็น ‘Eco-active’ เติบโตขึ้นจาก 16% ในปี 2019 เป็น 22% ในปี 2021
งานวิจัย Who Cares, Who Does แบ่งกลุ่มครัวเรือนออกเป็น 3 ประเภทตามพฤติกรรมดังนี้
- Eco-actives (22% ของครัวเรือน): นักช็อปที่มีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างมากและกำลังดำเนินการเพื่อลดขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- Eco-considerers (40% ของครัวเรือน): นักช็อปที่กังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติก แต่ไม่ได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อลดขยะ
- Eco-dismissers (38% ของครัวเรือน): นักช็อปที่สนใจสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย และไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อลดขยะ
ผลวิจัยยังพบอีกว่ากลุ่ม Eco-active เติบโตขึ้น 6% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็น 22% ของครัวเรือนทั่วโลก Kantar คาดการณ์ว่ากลุ่มนี้จะเติบโตเป็น 40% ของครัวเรือนทั้งหมดในช่วง 5 ปีข้างหน้า และมากกว่าครึ่งหนึ่งของครัวเรือนภายในปี 2029 Kantar ประมาณการว่าการซื้อสินค้า FMCG โดยกลุ่ม Eco-actives จะมีมูลค่ารวม 446 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เพิ่มขึ้น 70 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปี 2020 และคาดการณ์ว่ากลุ่มนี้จะเติบโตเป็น 925 พันล้านดอลลาร์ในปี2026 – อัตรา CAGR 15.7% ซึ่งโตเร็วกว่า 5 เท่าของตลาดร้านขายของชำโดยรวม
ประเทศไหนใส่ใจสิ่งแวดล้อมสูงสุด?
เยอรมนีมีกลุ่ม Eco-actives ที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็น 46% ของครัวเรือนในปี 2021 ตามด้วยเบลเยียมและฮังการี ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีกลุ่ม Eco-actives ต่ำที่สุดเพียง 7% ของครัวเรือนเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่าง GDP ต่อครัวเรือนกับความหนาแน่นของครัวเรือน Eco-actives หากมองในกลุ่มประเทศที่เจริญทางเศรษฐกิจ เนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกามีกลุ่มของ Eco-active ต่ำที่สุด
Kantar ยังให้ผู้บริโภคระบุข้อกังวลด้านความยั่งยืนและอุปสรรคสำคัญในการดำเนินการ ผลวิจัยพบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคกังวลสูงสุด
อันดับ 1 Climate Change 42% เพิ่มขึ้น 2% เทียบปี 2020
อันดับ 2 Water Pollution 36% เพิ่มขึ้น 1% เทียบปี 2020
อันดับ 3 Plastic Waste 34% ลดลง 3% เทียบปี 2020
อุปสรรคของผู้บริโภคต่อพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
อันดับ 1 59% สินค้าหายากหรือแพงกว่า
อันดับ 2 33% ถูกทำให้เขวขณะจับจ่าย
อันดับ 3 22% ไม่มั่นใจว่าต้องทำอย่างไร
และเนื่องจากหลายแบรนด์ทั่วโลกให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนอยู่แล้ว ผู้บริโภคจึงมีมุมมองว่าแบรนด์ใดบ้างทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดย Kantar เผย 10 อันดับแบรนด์ที่ผู้บริโภคยอมรับ
10 อันดับแบรนด์เพื่อสิ่งแวดล้อมในใจผู้บริโภค
อันดับ 1 Nestlé
อันดับ 2 Coca-Cola
อันดับ 3 Natura
อันดับ 4 Almarai
อันดับ 5 Ecover
อันดับ 6 Yves Rocher
อันดับ 7 Nivea
อันดับ 8 Tony’s Chocolonely
อันดับ 9 Zywiec Zdrój
อันดับ 10 Frosch
10 อันดับแบรนด์เพื่อสังคมในใจผู้บริโภค
อันดับ 1 Avon
อันดับ 2 Tony’s Chocolonely
อันดับ 3 Natura
อันดับ 4 Nestlé
อันดับ 5 Nivea
อันดับ 6 Oriflame
อันดับ 7 Body shop
อันดับ 8 Yves Rocher
อันดับ 9 Lush
อันดับ 10 Dove
Guillaume Bacuvier – Global CEO, Kantar Worldpanel กล่าว “Eco-actives เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ที่สนับสนุนกลยุทธ์แห่งความยั่งยืน ตลาด Eco-active จะเติบโตเร็วกว่าตลาดของชำโดยรวมถึง 5 เท่า ดังนั้นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านกลยุทธ์ความยั่งยืนจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์ บริษัทที่ทำถูกกลยุทธ์จะได้รับความสำเร็จ แต่บริษัทที่ไม่ลงมือทำสิ่งใดเลยจะมีความเสี่ยงขณะที่ผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ 2 ใน 3 ของนักช้อปทั้งหมดหยุดซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1 ครั้ง
สำหรับการค้าปลีกยังมีอะไรให้ทำอีกมากมาย มีเพียง 44% ของผู้ซื้อเท่านั้นที่พอใจกับข้อเสนอในร้านค้าบ้างหรือพอใจมาก ทางเลือกจากสินค้าท้องถิ่นและตัวเลือกที่ราคาไม่แพงเป็นปัจจัยด้านความยั่งยืนที่สำคัญที่สุดที่ผู้ซื้อมักพิจารณาในการเลือกร้านค้าสำหรับการจับจ่าย”
รายงานฉบับเต็ม www.kantar.com/campaigns/who-cares-who-does-in-the-fmcg-industry