แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายเปิดรับผู้อพยพมากที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน แต่การรับคนต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยไม่ใช่แค่เรื่องของมนุษยธรรมเท่านั้น หากแต่เป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เติบโต
แคนาดามีประวัติการรับผู้อพยพมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเริ่มจากการต้อนรับแรงงานจากยุโรปที่เข้ามาสร้างทางรถไฟและพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วงศตวรรษที่ 20 นโยบายผู้อพยพของแคนาดาได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลแคนาดาเริ่มเห็นความสำคัญของการดึงดูดแรงงานทักษะสูงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นับตั้งแต่ปี 1967 แคนาดาเป็นประเทศแรกของโลกที่ใช้ระบบคัดเลือกผู้อพยพแบบ “คะแนน” (Points-based Immigration System) ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของผู้สมัคร เช่น ทักษะทางวิชาชีพ การศึกษา และความสามารถทางภาษา มากกว่าปัจจัยทางเชื้อชาติหรือภูมิหลัง ระบบนี้ช่วยให้แคนาดาสามารถดึงดูดแรงงานที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แคนาดาเผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัยและอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเพิ่มความสำคัญของนโยบายผู้อพยพ โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูงและผู้ประกอบการที่สามารถสร้างงานให้กับชาวแคนาดาเอง นโยบายนี้ถูกผลักดันผ่านแคมเปญ #ImmigrationMatters ซึ่งเน้นให้เห็นถึงบทบาทของผู้อพยพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างธุรกิจ และช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงาน
กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจแคนาดา
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นอยู่กับแรงงานที่มีประสิทธิภาพ—กลุ่มคนที่ทำงาน จ่ายภาษี และขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ทุกวันนี้ แคนาดากำลังเผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัย และอัตราการเกิดที่ลดลง คนจำนวนมากขึ้นกำลังเข้าสู่วัยเกษียณ ขณะที่จำนวนนักเรียนที่เตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานลดน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในหลายอุตสาหกรรม ผู้อพยพจึงไม่เพียงแค่เข้ามาทำงาน แต่ยังช่วยเติมพลังให้กับเศรษฐกิจ
ที่สำคัญ ผู้อพยพไม่ได้เป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น พวกเขายังเป็น เจ้าของธุรกิจ และ ผู้สร้างงาน ปัจจุบัน 32% ของเจ้าของธุรกิจที่มีพนักงานประจำในแคนาดาเป็นผู้อพยพ โดยครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง บริการวิชาชีพ การดูแลสุขภาพ และการค้าปลีก พวกเขามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโต และสร้างโอกาสในการจ้างงานให้กับชาวแคนาดา
แรงงานสำหรับอนาคตที่เปลี่ยนแปลง
บริการสาธารณะของแคนาดา เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา และเงินบำนาญ ล้วนได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีที่ประชาชนจ่าย แต่ด้วยอัตราการเกิดที่ลดลง การสร้างแรงงานที่เพียงพอจึงเป็นเรื่องสำคัญ ภายในปี 2046 จำนวนประชากรที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า เป็น 2.5 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าความต้องการบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมจะเพิ่มสูงขึ้น
แม้ว่าการอพยพจะไม่สามารถแก้ปัญหาประชากรสูงวัยได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน ผู้อพยพเกือบ สองในสาม อยู่ในช่วงวัยทำงาน ซึ่งช่วยเติมเต็มตลาดแรงงานและสนับสนุนระบบสวัสดิการของประเทศ
เติมเต็มความต้องการแรงงานในตลาด
ทุกวันนี้ หลายธุรกิจในแคนาดากำลังเผชิญปัญหาในการหาคนทำงานที่มีทักษะที่เหมาะสม ในปี 2021 ธุรกิจมากกว่า 44% รายงานว่ามีปัญหาในการหาผู้สมัครที่ตรงกับความต้องการของงาน โครงการรับผู้อพยพอย่าง Express Entry จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยคัดเลือกแรงงานจากต่างชาติที่สามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจของแคนาดา
ขณะนี้ อุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่:
- การดูแลสุขภาพ – พยาบาล แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์
- STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) – นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักพัฒนาซอฟต์แวร์ วิศวกรไฟฟ้า
- งานช่างและก่อสร้าง – ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ ผู้จัดการโครงการก่อสร้าง
- การขนส่ง – คนขับรถบรรทุก นักบิน
- เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหาร – เกษตรกร และแรงงานในภาคเกษตร
นอกจากนี้ ผู้อพยพยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน นวัตกรรม และการลงทุน ด้วย โดยปัจจุบัน มีผู้อพยพที่ทำงานในสาขา STEM มากกว่า 1.4 ล้านคน ซึ่งความเชี่ยวชาญเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งอนาคต อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผู้อพยพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แคนาดาจึงทำงานร่วมกับนายจ้างและรัฐบาลในระดับท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าทักษะและการศึกษาของพวกเขาสอดคล้องกับมาตรฐานของประเทศ
บทบาทสำคัญของผู้อพยพในหลากหลายภาคส่วน
ตามข้อมูลจาก Statistics Canada ณ เดือนพฤษภาคม 2021 ผู้อพยพที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 54 ปี มีสัดส่วนสำคัญในภาคธุรกิจต่างๆ ของแคนาดา:
การก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ผู้อพยพเป็นกำลังหลักของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง คิดเป็น 23% ของผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้พัฒนาอาคารที่อยู่อาศัย
ธุรกิจและผู้ประกอบการ
แคนาดามีเครือข่ายธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้อพยพ โดย 32% ของเจ้าของธุรกิจที่มีลูกจ้างเป็นชาวต่างชาติที่ย้ายมาแคนาดา
บริการอาหารและเครื่องดื่ม
มากกว่า 1 ใน 4 ของแรงงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นผู้อพยพ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในภาคการวิจัยและพัฒนา ผู้อพยพมีบทบาทสำคัญ โดย มากกว่าหนึ่งในสาม ของแรงงานในภาคส่วนนี้เกิดนอกแคนาดา
กีฬา
ไม่เพียงแค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ในวงการกีฬา ผู้อพยพคิดเป็น 24% ของผู้ฝึกสอนกีฬาในแคนาดา
ศิลปะและวัฒนธรรม
มากกว่า 20% ของศิลปิน นักเขียน และนักแสดงอิสระในแคนาดาเป็นผู้อพยพ ซึ่งช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาและหลากหลาย
การกุศลและการช่วยเหลือสังคม
ภาคการช่วยเหลือสังคมก็ได้รับประโยชน์จากแรงงานผู้อพยพเช่นกัน โดย มากกว่า 1 ใน 4 ของแรงงานในภาคส่วนนี้เกิดนอกแคนาดา
แนวทางการคัดเลือกผู้อพยพของแคนาดา: กระบวนการที่รอบคอบและมีกลยุทธ์
แคนาดามีอัตราการได้รับสัญชาติที่สูงที่สุดในโลก 80% ของผู้อพยพที่มีสิทธิ์ได้รับสัญชาติได้เป็นพลเมืองแล้วในปี 2021 แต่การได้เป็นพลเมืองแคนาดาไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้สมัครที่มีอายุระหว่าง 18-54 ปี ต้องสอบข้อสอบสัญชาติ ซึ่งทดสอบความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สิทธิ และหน้าที่ของพลเมืองแคนาดา
ระบบการรับผู้อพยพของแคนาดาไม่ได้เป็นเพียงการเปิดประตูต้อนรับผู้คนเท่านั้น แต่เป็นการวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่าผู้อพยพมีโอกาสประสบความสำเร็จและตอบสนองความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริงแผนระดับการรับผู้อพยพ (Immigration Levels Plan) ที่ประกาศเป็นประจำทุกปี เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดจำนวนผู้ย้ายถิ่นฐานให้สอดคล้องกับทิศทางของประเทศ
ก่อนจะกำหนดตัวเลขผู้อพยพที่รับเข้ามา รัฐบาลจะเปิดให้ ประชาชน ชุมชนพื้นเมือง รัฐและมณฑล องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานที่ทำงานด้านผู้อพยพ ร่วมให้ความคิดเห็น เพื่อให้แน่ใจว่าการอพยพเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
เป็นครั้งแรกที่แผนการรับผู้อพยพของแคนาดาในปี 2025–2027 จะรวมถึงเป้าหมายสำหรับผู้อยู่อาศัยชั่วคราว เช่น นักศึกษาต่างชาติ และแรงงานต่างชาติ ควบคู่ไปกับเป้าหมายสำหรับผู้อยู่อาศัยถาวร
เป้าหมายการรับผู้อพยพถาวร
- 395,000 คน ในปี 2025
- 380,000 คน ในปี 2026
- 365,000 คน ในปี 2027
เป้าหมายการรับผู้อยู่อาศัยชั่วคราว
- 673,650 คน ในปี 2025
- 516,600 คน ในปี 2026
- 543,600 คน ในปี 2027
ระบบตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อความปลอดภัย
แคนาดาให้การต้อนรับผู้อพยพจากทั่วโลก แต่ก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสวัสดิการของสังคมเป็นอันดับแรก ผู้สมัครทุกคนต้องผ่าน กระบวนการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่า:
- ไม่มีประวัติอาชญากรรมร้ายแรง
- ไม่มีภัยคุกคามต่อความมั่นคงของแคนาดา
- ไม่เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
- มีสุขภาพแข็งแรง (ได้รับการยืนยันผ่านการตรวจสุขภาพ)
- มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง
สำหรับผู้ที่สมัครเป็น ผู้อยู่อาศัยถาวร จำเป็นต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น
- ใบรับรองประวัติอาชญากรรม หรือผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
- ข้อมูลไบโอเมตริก (รูปถ่ายและลายนิ้วมือ) สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 14 ถึง 79 ปี
การสนับสนุนผู้อพยพให้ประสบความสำเร็จในแคนาดา
ความสำเร็จของผู้อพยพเริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือก ผ่านระบบ Express Entry ซึ่งเป็นระบบที่ให้คะแนนผู้สมัครตามปัจจัยต่างๆ เพื่อประเมินศักยภาพในการปรับตัวและประสบความสำเร็จในแคนาดา โดยคำนึงถึง:
- ความสามารถทางภาษา
- ระดับการศึกษา
- ประสบการณ์การทำงาน
- ข้อเสนองานจากนายจ้างในแคนาดา
- การเสนอชื่อจากมณฑลหรือรัฐ
เฉพาะผู้ที่มีคะแนนสูงสุดเท่านั้นที่จะได้รับเชิญให้สมัครเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร
การปรับตัวสู่ชีวิตใหม่อาจเป็นเรื่องท้าทาย รัฐบาลแคนาดาจึงให้การสนับสนุนผ่าน องค์กรให้บริการด้านการตั้งถิ่นฐาน (Settlement Service Organizations) กว่า 550 แห่งทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพให้ปรับตัวได้ง่ายขึ้นในด้านต่างๆ เช่น
- การเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในแคนาดาและชุมชนที่อยู่อาศัย
- การฝึกอบรมภาษา
- การหางานทำ
- การสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ในสังคม
ค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นฐานไปแคนาดา: ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่?
การย้ายไปเป็นผู้อพยพในแคนาดามีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไปตามประเภทของวีซ่าและโครงการที่เลือก ตัวอย่างเช่น สำหรับ Express Entry ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางยอดนิยมสำหรับแรงงานฝีมือ ค่าใช้จ่ายโดยประมาณมีดังนี้:
ค่าธรรมเนียมการยื่นขอถิ่นที่อยู่ถาวร (Permanent Residence – PR):
- ผู้สมัครหลัก: $1,525 CAD (ประมาณ 36,300 บาท)
- ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการดำเนินการ $950 CAD (ประมาณ 22,600 บาท) และค่าธรรมเนียมสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร $575 CAD (ประมาณ 13,700 บาท)
- คู่สมรสหรือคู่ชีวิตตามกฎหมาย: $1,525 CAD (ประมาณ 36,300 บาท)
- เช่นเดียวกับผู้สมัครหลัก
- บุตรที่อยู่ในความอุปการะ (อายุต่ำกว่า 22 ปี): $260 CAD ต่อคน (ประมาณ 6,200 บาท)
- ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ $260 CAD (ไม่มีค่าธรรมเนียมสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร)
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม:
- ค่าสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (IELTS/CELPIP): ประมาณ $300 CAD (ประมาณ 7,200 บาท)
- ค่าตรวจสุขภาพ: ประมาณ $250 – $400 CAD (ประมาณ 6,000 – 9,500บาท)
- ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม (Police Clearance): ประมาณ $30 – $50 CAD (ประมาณ 700 – 1,200บาท)
- ค่าธรรมเนียมข้อมูลชีวมาตร (Biometrics):
- ผู้สมัครรายบุคคล: $85 CAD (ประมาณ 2,000 บาท)
- ครอบครัวที่สมัครพร้อมกัน: สูงสุด $170 CAD (ประมาณ 4,000 บาท)
เงินสำรองที่ต้องมี (Proof of Funds):
ผู้สมัครต้องแสดงหลักฐานว่ามีเงินเพียงพอสำหรับการตั้งถิ่นฐานในแคนาดา จำนวนเงินที่ต้องมีขึ้นอยู่กับขนาดครอบครัว โดยข้อมูลล่าสุด (ปรับปรุงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2024) ระบุว่า:
- ผู้สมัครเดี่ยว: $14,690 CAD (ประมาณ 350,000 บาท)
- คู่สมรส: $18,288 CAD (ประมาณ 435,000 บาท)
- ครอบครัว 3 คน: $22,483 CAD (ประมาณ 535,000 บาท)
- ครอบครัว 4 คน: $27,297 CAD (ประมาณ 650,000 บาท)
- ครอบครัว 5 คน: $30,690 CAD (ประมาณ 730,000 บาท)
สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณ:
เมื่อรวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผู้สมัครเดี่ยวอาจต้องเตรียมเงินประมาณ $16,000 – $20,000 CAD (ประมาณ 380,000 – 475,000 บาท) ขณะที่ครอบครัวที่มีคู่สมรสและบุตรหนึ่งคนอาจต้องเตรียมเงินมากกว่า $25,000 CAD (ประมาณ 595,000 บาท)
โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ทางการของรัฐบาลแคนาดา เนื่องจากค่าธรรมเนียมและข้อกำหนดอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ที่มา: Canada.ca