ทุกวันนี้ Demand ในตลาด “แว่นตา” มีมากขึ้น และซับซ้อนขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอ ไม่ว่าจะจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ หรือแท็บเลต เกือบตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้า จนเข้านอน ประกอบกับในตลาดมีร้านแว่นมากมาย ทั้งเชนใหญ่ และผู้ประกอบการอิสระ ทำให้ตลาดแว่นตาในไทย ยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี
สำรวจตลาดแว่นตากว่า 7.7 พันล้าน พร้อม 4 เหตุผลขับเคลื่อนการเติบโต
Euromonitor International รายงานตลาดแว่นตา (แว่นสายตา) ในประเทศ คาดการณ์ยอดขายโดยรวม
– ปี 2023: 7,730 ล้านบาท
– ปี 2022: 7,118 ล้านบาท
– ปี 2021: 6,343.4 ล้านบาท
เมื่อวิเคราะห์ถึงปัจจัยผลักดันตลาดแว่นตาในประเทศไทยเติบโต มาจาก
1. การเพิ่มขึ้นของปัญหาสายตา และผู้บริโภคตระหนักการดูแลสายตามากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนทุกวันนี้ ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเพิ่มขึ้น จอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ หรือแท็บเลต ยิ่งในช่วง COVID-19 ที่เกิดการล็อกดาวน์ เป็นตัวเร่งให้คนต้องอยู่กับหน้าจอเกือบตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะประชุม หรือทำงานจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือเรียนทางออนไลน์ รวมถึงการเปิดรับคอนเทนต์ความบันเทิงผ่านหน้าจอต่างๆ ทำให้เกิด Demand มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแว่นสายตา, แว่นกันแดด, แว่นกรองแสงสีฟ้าสำหรับคนที่ต้องอยู่กับหน้าจอนานๆ
2. การขยายตัวของร้านแว่น ทั้งของเชนใหญ่ และผู้ประกอบการอิสระ ปัจจุบันในไทยมีเชนร้านแว่นรายใหญ่ เช่น ท็อปเจริญ, หอแว่น, KT Optic, Owndays ซึ่งเป็นเชนค้าปลีกแว่นจากญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีร้านของผู้ประกอบการอิสระ ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น
3. ดีไซน์แฟชั่น กระตุ้นให้คนอยากใส่ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแว่นเติบโต โดยปัจจุบันในตลาดแว่นมีหลากหลายดีไซน์ ทั้งกรอบ และเลนส์ โดยมีทั้งแบรนด์ระดับโลก ไปจนถึงแบรนด์ของร้านแว่นที่สั่งผลิตโดยเฉพาะ ทำให้การใส่แว่นนทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ช่วยแก้ปัญหาสายตา หรือปกป้องสายตาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการเสริมลุคการแต่งกาย และบ่งบอกตัวตน หรือสไตล์ของคนๆ นั้นด้วยเช่นกัน
4. Affordable Price ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้น จากการขยายตัวของผู้ให้บริการร้านแว่น และดีไซน์หลากหลาย ส่งผลให้เกิดการแข่งขัน ทั้งด้านดีไซน์กรอบ เลนส์ และการทำราคา หรือโปรโมชั่น เพื่อทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายขึ้น และยังเป็นปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแว่นถี่ขึ้น หรือในผู้บริโภค 1 คน อาจมีแว่นมากกว่า 1 อัน เช่น แว่นสายตาในกรอบแบบต่างๆ เพื่อ Mix & Match เข้ากับแต่ละลุคการแต่งกาย
“Glassiq” จากสตาร์ทอัพแว่นตาขายผ่านออนไลน์ สู่การรุกโมเดล “Omni-channel” ด้วย 4 กลยุทธ์
จุดเริ่มต้นของ Glassiq (กลาสสิค) ก่อตั้งในปี 2016 เป็นสตาร์ทอัพแว่นตาที่ให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งการขาย, Home Try-on และ Virtual Try-on ด้วยคอนเซ็ปต์จากการเห็น Pain Point การจำหน่ายแว่นตาแบบเดิมที่มีราคาสูงและขั้นตอนที่มากมาย จึงต้องการทำร้านแว่นที่เน้นความสะดวก สบาย ทันสมัย และเป็นมิตร
ต่อมาในปี 2022 ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด” (Vision Ventures) ซึ่งเป็น Holding Company ดำเนินธุรกิจแว่นตาครบวงจร ภายใต้บริษัทในเครือต่างๆ และบริษัทพันธมิตร เช่น นำศิลปไทย กรุ๊ป ผู้จัดจำหน่าย, หอแว่น ร้านค้าปลีกแว่นรายใหญ่, Glassiq ร้านค้าปลีกแว่นทั้งออนไลน์ และออฟไลน์, Thai Optical Group ผู้ผลิตและส่งออกเลนส์
ทั้งนี้แม้จะเป็นร้านแว่นอยู่ในเครือเดียวกัน แต่กลุ่มเป้าหมายของหอแว่น และ Glassiq ต่างกัน คือ
– หอแว่น โฟกัสกลุ่มลูกค้าอายุ 40 ปีขึ้นไป มีกำลังซื้อ และมองหากรอบแว่นแบรนด์เนม
– Glassiq โฟกัสกลุ่มลูกค้า 20 – 40 ปี เช่น กลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber) กลุ่มลูกค้าที่อยากเปลี่ยนแว่นบ่อยครั้ง ในราคาเข้าถึงง่าย
พร้อมทั้งรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “Glassiq” จากเดิมที่ชื่อว่า Glazziq เพื่อสร้างการจดจำง่าย พร้อมเปลี่ยนโลโก้ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ล่าสุดเดือนธันวาคม 2023 ได้ต่อยอดการขายและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ สู่โมเดล “Omni-channel” ด้วยการเปิดร้าน Flagship Store สาขาแรกที่ศูนย์การค้า EMSPHERE ผสานบริการทั้งออฟไลน์ และออนไลน์เข้าด้วยกัน พร้อมชู 4 กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ลูกค้า
1. สินค้าคุณภาพ ในราคาเข้าถึงได้: แว่นตาของ Glassiq มีดีไซน์สวย คุรภาพดี ตอบโจทย์คนไทย เพราะทีมงาน Glassiq ออกแบบเอง และผลิตกับโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้วัสดุคุณภาพและกระบวนการผลิตแว่นตา ทำให้ได้ราคาสมเหตุสมผล
ประกอบกับเป็นพาร์ทเนอร์โดยตรงกับ Thai Optical Group หนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกเลนส์รายใหญ่ของโลก ทำให้ได้เลนส์สายตาที่มีคุณภาพ ในราคาเหมาะสม โดยราคา กรอบพร้อมเลนส์เริ่มต้น 1,990 บาท
2. โมเดล Omni-channel ลูกค้าเลือกซื้อแว่นได้ง่าย: ด้วยการเข้าเว็บไซต์เพื่อดูกรอบแว่นตาจากแคตตาล็อก ศึกษารายละเอียดของแว่นแต่ละรุ่นได้ตั้งแต่ที่บ้าน รวมถึงมีให้ทดลองเล่นฟิลเตอร์กรองหาแว่นที่เหมาะกับความต้องการ มี Inspiration Lookbook ให้เลือกดู และสามารถเช็ค Product Availability จากเว็บไซต์ได้ว่า มีสินค้าให้ลองที่หน้าร้านหรือไม่ และระหว่างเลือกดูสินค้าที่ร้าน หากต้องการรู้ story แว่นตาเพิ่มเติม ก็สามารถสแกน QR CODE สินค้านั้นๆ
นอกจากนี้ภายในร้าน Glassiq ได้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น สายพานที่ช่วยส่งแว่นเข้าห้องฝนเลนส์อัตโนมัติได้รวดเร็ว เครื่องฝนเลนส์ที่มีความแม่นยำ และเครื่องวัดสายตารุ่นล่าสุดที่วัดได้อย่างละเอียด
3. สร้างประสบการณ์ด้วยดีไซน์ร้านเปิดโล่ง และจัดโซนร้านตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า: การออกแบบร้าน Glassiq เป็นบรรยากาศพื้นที่เปิด เดินเข้า-ออกได้สะดวก พร้อมทั้งจัด Zoning สินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า มีทั้งแบ่งตามวัสดุกรอบแว่น เช่น ลูกค้าที่มองหาแว่นน้ำหนักเบา, ลูกค้าที่มองหาแว่ยกรอบเหล็ก แต่มีความยืดหยุ่น และกรอบแว่นตามทรงหน้า ช่วยให้ลูกค้าเดินเลือกชมสินค้า ดูข้อมูลได้อย่างอิสระ ไม่กดดัน
โดยที่ร้านมีบริการ Eyewear Bar ที่นั่งคุยระหว่างลูกค้ากับพนักงานของ Glassiq ให้คำแนะนำเรื่องสายตา กรอบแว่น เลนส์ การเลือกกแว่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการที่ลูกค้ามองหาได้
4. ใช้พลัง Synergy หอแว่น ฝึกอบรมพนักงาน และการรับประกันสินค้า อีกหนึ่งจุดเด่นของ Glassiq คือ ลูกค้าสามารถรอรับกรอบแว่นพร้อมเลนส์ที่หน้าร้านได้เลยภายใน 20 นาที หลังจากชำระเงิน (ยกเว้นกรณีที่ลูกค้ามีค่าสายตาซับซ้อน) นอกจากนี้พนักงาน Glassiq ได้รับการฝึกอบรมจาก BVAX Academy (Better Vision accuracy Expertise Academy) ที่เชี่ยวชาญในการวัดสายตา ตัด ประกอบ ปรับ และดัดแว่นตา รวมทั้งการรับประกันสินค้า BVAX Warranty เปลี่ยนเลนส์ได้ฟรีภายใน 1 ปีหากใส่ไม่สบาย และบริการหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน
“จุดขายของ Glassiq คือ กรอบแว่นที่เราดีไซน์เอง เพื่อให้เหมาะกับรูปหน้าของคนไทย และสั่งผลิตจากโรงงานในเกาหลี ซึ่งนอกจากกรอบแล้ว เรามีพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตเลนส์ระดับโลกอย่าง Thai Optical Group ทำให้เราพัฒนาเลนส์ของทางร้านเอง ครอบคลุมทั้งเลนส์สายตา, เลนส์สี, เลนส์กันแดด
อย่างไรก็ตามแม้เราทำกรอบแว่น และเลนส์เอง แต่เรามั่นใจในคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ ในราคาเข้าถึงได้ ทว่าสิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้องสื่อสารถึงคุณภาพให้ชัดเจนคือ ทั้งกรอบและเลนส์ เราใช้เป็นแบรนด์ของตัวเอง เพราะเราตัดพ่อค้าคนกลางออก เพื่อทำให้กรอบกับเลนส์ ราคาไม่แพงเกินไป แต่คุณภาพไม่แพ้แบรนด์อย่างแน่นอน รวมทั้งสื่อสารถึงบริการที่ช่วยสร้างความสบายใจให้กับลูกค้า เช่น การรับประกันสินค้า
สำหรับการเปิดร้าน Glassiq สาขาแรกที่ EMSPHERE ชั้น 2 เป็นอีกความท้าทายครั้งใหญ่ที่เราตั้งใจมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับคนรุ่นใหม่วัยรุ่น และวัยทำงาน ขณะที่แผนการขยายร้าน Glassiq ในปี 2024 จะเปิดอีก 2 สาขาคือ ที่อาคาร Zuellig House ถนนสีลม และเซ็นทรัล นครสรรค์ โดยเราตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10,000 ตัวภายในปีหน้า” คุณพิริยะ ตันตราธิวุฒิ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แว่นตา Glassiq และ CMO บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมาย