ปี 2025 กำลังจะมาถึง พร้อมกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ในโลกธุรกิจ การปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ที่หมุนไปในแต่ละปี จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ Marketing Oops! รวบรวม 8 เทรนด์ธุรกิจแห่งปี 2025 ในรูปแบบต่างๆ เทรน์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเตรียมพร้อม ปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
1.Gen AI Merges with Hyperautomation
ในปี 2024 “Generative AI” หรือ “Gen AI” เข้ามามีบทบาทในชีวิตผู้คนมากขึ้น ซึ่งในปี 2025 นี้ Gen AI จะเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการทำงานของธุรกิจมากขึ้นเช่นกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจให้หลากหลายสอดรับความต้องการ และเพื่อให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างอิสระ แต่ละแผนกขององค์กรจะมีการนำ Gen AI มาใช้เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น และในท้ายที่สุดสามารถสร้าง Impact ทางธุรกิจได้อย่างจริงจัง
ในปี 2025 Gen AI แต่ละแผนกจะถูกเชื่อมโยงเข้าหากันเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันในรูปแบบ “Hyperautomation” ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานด้วย Gen AI ทั้งองค์กรเชื่อมต่อข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ ยกตัวอย่างเช่น Gen AI ของ Sales เชื่อมโยงข้อมูลกับ Gen AI ฝ่าย Production เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ฝ่ายขายต้องการ โดยจะผสานงานกับ Gen AI ของฝ่าย Marketing เพื่อนำเสนอสินค้าสู่ผู้บริโภค และจะเชื่อมโยงไปยังข้อมูลกับ Gen AI ของฝ่าย Customer Service ด้วยเป็นต้น
แม้ว่า Gen AI จะช่วยให้พนักงานลดการทำงานแบบ Routine ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น การจัดการความเสี่ยงด้าน “ความปลอดภัยทางไซเบอร์” ความกังวลเรื่อง “ข้อมูลส่วนบุคคล” และข้อกังวลของพนักงานหากถูก Gen AI เข้ามาทำหน้าที่แทน ธุรกิจจึงต้องเตรียมวางโครงสร้างพื้นฐาน Gen AI หรือหาแพลทฟอร์ม AI สำหรับองค์กรที่มั่นใจได้มาใช้ พร้อมการฝึกฝนทักษะใหม่ให้กับพนักงานในการทำงานกับ Gen AI ในระบบ Hyperautomation ให้มากขึ้น
2. Real Profit with Sustainable Business
“ความยั่งยืน” (Sustainability) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องทำโดยเฉพาะเรื่องของ “สิ่งแวดล้อม” และจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ผลจากความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น และเรื่องของกฎหมายระเบียบข้อบังคับต่างๆ ทั่วโลกก็จะเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2025 ความยั่งยืนจะเปลี่ยนจากการเน้นการ “ลดใช้พลังงาน” ไปที่การ “ลดการใช้ทรัพยากร” เพื่อลดการปล่อยของเสีย ต้นตอของการทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และกลยุทธ์ความยั่งยืนจะนำไปสู่ผลกำไรได้จริงในปีนี้
แนวคิดเรื่อง “Circular Economy” หรือแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจะถูกนำกลับมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยจะเน้นที่ 3 เรื่องหลักทั้ง การ “ยืดอายุผลิตภัณฑ์” “การนำกลับมาใช้ใหม่” และ “การรีไซเคิล” ที่สำคัญ “พลาสติก” จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของ Circular Economy นั่นเพราะปัจจุบันการพัฒนานวัตกรรมพลาสติกเพื่อใช้ในบรรจุภัณฑ์ก้าวหน้ามากขึ้น ส่งผลให้การใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งจะลดลง
ในปี 2025 ธุรกิจจะต้องเน้นไปที่การลด Life Cycle ของผลิตภัณฑ์และบริการ ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการลดการบริโภคเป็นอันดับแรก ดังนั้นเราจะได้เห็นความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค หน่วยงานกำกับดูแล นักวิจัย ธุรกิจรีไซเคิล ซัพพลายเออร์ และบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ และที่สำคัญสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้จริงๆแล้ว
3. The AI Revolution in Customer Experience
ในปี 2025 เทรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง AI ก็ส่งผลต่อเรื่อง ประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) หรือ CX เช่นกัน ในมุมของธุรกิจ การมี AI เข้ามามีบทบาทนั้นทำให้การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันในฝั่งผู้บริโภคก็คาดหวังว่าตนเองจะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ และธุรกิจมากขึ้นด้วย ทำให้แม้จะมี AI เข้ามา แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะดึงดูดใจลูกค้าได้อยู่หมัด และยิ่งในยุคที่ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย แบรนด์จะทำอย่างไรให้เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า
เทรนด์ของ CX ในปี 2025 นั้นสามารถดูได้จากงานศึกษาของ Zendesk บริษัทด้านเทคโนโลยี CRM จากเดนมาร์ก ที่ได้ศึกษา และวิจัยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาพลิกโฉมรูปแบบของ CX สู่การเป็น CX Trendsetters ที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน จากผู้บริโภค 5,082 คน และนักการตลาดอีกกว่า 5,504 คนใน 22 ประเทศ จนสามารถสรุปออกมาได้เป็น 4 เทรนด์ CX กับบทบาทของ AI ที่ธุรกิจต้องรู้ในปี 2025
สำหรับเทรนด์ AI ในการยกระดับ CX ทั้ง 4 เรื่องนั้น เรื่องแรกคือ AI ที่นำมาใช้ “สร้างความไว้วางใจด้วยความเป็นมิตร” ปัจจุบันผู้บริโภค รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องสื่อสารกับ AI ที่สื่อสารได้อย่างเป็นมิตร และคล้ายคลึงกับมนุษย์ และส่วนใหญ่ชอบ AI ที่สามารถสื่อสารได้อย่างธรรมชาติ อีกเรื่องคือการที่ AI จะเข้ามาเพิ่ม “บทบาทของ Personal AI Assistants” เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่มีมุมมองบวกกับการที่ AI มาช่วยจัดการงาน เช่น การติดตามคำสั่งซื้อหรือการแนะนำสินค้า และผู้บริโภคมากกว่า 80% เชื่อว่า AI จะเป็นส่วนสำคัญของการบริการลูกค้าสมัยใหม่ต่อไป
นอกจากนี้ประสบการณ์ลูกค้าจะยกระดับด้วย “Voice AI กับการสื่อสารที่ลื่นไหล” เพราะผู้บริโภคกว่า 70% ต้องการให้ AI เข้าใจสิ่งที่ตนอยากสื่อสาร และตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ กว่า 60% คาดหวังให้ธุรกิจนำ Voice AI มาใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพการบริการ อย่างเช่นบริษัท Siemens ที่เริ่มมีการใช้ Voice AI ช่วยตอบสนองคำขอและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ทันที และสุดท้าย AI จะช่วยยกระกับประสบการณ์ลูกค้าเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว และความภักดีของลูกค้า” เพราะผู้บริโภคคาดหวังบริการที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วย และ CX Trendsetters ส่วนใหญ่วางแผนลงทุนใน AI เพื่อสร้างความภักดีในระยะยาวแล้ว
เทรนด์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้สะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือความคาดหมาย สู่การสร้างความแตกต่างในตลาด และต่อยอดสู่การรับมือกับอนาคตที่กำลังจะมาถึงในปี 2025
4. Resilience In The Age Of Uncertainty
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 ธุรกิจกำลังเผชิญกับ “สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน” ตลอดเวลา ทั้งความตึงเครียดจากการเมืองระดับโลก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบจากโรคระบาด ดังนั้น “Resilience” หรือความสามารถในการปรับตัวและเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ได้กลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับองค์กรในยุคปัจจุบันไปแล้ว
เทคโนโลยียังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะ Generative AI ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลล่วงหน้า ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และช่วยในกระบวนการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น Supply Chain ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะสามารถคาดการณ์ความเสี่ยง แนะนำเส้นทางหรือผู้จัดจำหน่ายทางเลือก เพื่อลดความล่าช้าและลดค่าใช้จ่ายได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ Digital Transformation ยังคงเรื่องสำคัญเพราะ ธุรกิจที่ใช้ระบบ Cloud Computing, Data Analytics และ Machine Learning เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้มีการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาวะตลาดหรือพฤติกรรมผู้บริโภค
ความยืดหยุ่นที่ว่านี้รวมไปถึงการทำงานแบบ “Agile” เพื่อให้สามารถปรับขนาดการดำเนินงานตามความต้องการได้ การจัดการ “ซัพพลายเชนแบบไดนามิก” กระจายซัพพลายเออร์และสร้างระบบที่มีความหลากหลาย ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ในขณะที่ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับเรื่องของการเน้นให้ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” การปรับแต่งผลิตภัณฑ์ ประสบการณ์ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ และการสร้างความไว้วางใจ กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความภักดีของลูกค้าในตลาดที่ไม่แน่นอนในปี 2025 นี้
5. Cross-Border Commerce on the Rise
“Cross-Border Commerce” เป็นเทรนด์ที่ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2025 การสื่อสารกับผู้บริโภคต่างชาติต่างภาษา รวมถึงการขายของข้ามพรมแดนจะทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ทั้งในมุมของผู้บริโภคทั่วไปและการขยายธุรกิจออกสู่ระดับภูมิภาค เหตุผลเพราะบริการด้านต่างๆที่จะทำให้ Cross Boarder Commerce ทำได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาไปจากเดิมมาก
เทรนด์ Cross-Border Commerce เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งจากหลายๆภาคส่วนในประเทศไทยในปีนี้ โดยเฉพาะแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเช่น Meta เจ้าของแพลทฟอร์ม Facebook และ Instagram ระบุใน Meta Commerce Day 2024 ว่านักช้อปเริ่มใช้เทคโนโลยีช่วยหาซื้อของจากทั่วโลกมากขึ้น โดยปัจจุบันนักช้อปเกือบครึ่งหรือราว 48% ซื้อของจากต่างประเทศและแน่นอนว่าเทรนด์นี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ Meta ยังเคยคาดการณ์เอาไว้ว่าอุตสาหกรรม Cross-Border Commerce จะเติบโตขึ้นมากถึง 280% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้านี้
ด้าน TikTok แพลทฟอร์ม Shoppertainment ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มว่าจะมีฟีเจอร์ ที่สามารถขายของข้ามประเทศใน ในอนาคตผ่าน TikTok Shop โมเดลที่มีการเปิดใช้จริงแล้วในตลาดจีนและฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆในการช่วยแปลภาษาในคลิปวิดีโอจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งได้อย่างอิสระมากขึ้นเช่นฟีเจอร์ AI Dubbing ที่มีให้บริการใน TikTok รวมถึง YouTube หรือจะเป็นความสามารถของแอปพลิเคชั่น HeyGen ที่แปลภาษาและปรับรูปปากเป็นอีกหลายๆภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟีเจอร์เหล่านี้ล้วนทำให้ Cross-Border Commerce มีความเป็นไปได้มากขึ้นกับภาคธุรกิจในวงกว้าง
ในแง่ของการขยายธุรกิจสู่ต่างแดนเองเราก็ได้เห็นบริการที่ช่วยให้ธุรกิจขยายสู่ต่างประเทศแบบเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้วโดยเฉพาะจากหลายๆธนาคารใหญ่ในประเทศไทยที่เริ่มมีบริการที่ปรึกษาให้กับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ด้วยแนวโน้มเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นได้ว่าในปี 2025 นี้ Cross-Border Commerce จะเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ใหญ่ที่ภาคธุรกิจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้
3. Pet Parents Beyond Companionship
การเติบโตของเทรนด์ Pet Parent การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกครอบครัว หรือ “Pet Parent” กำลังเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลกและไทย มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยปี 2024 คาดว่าจะสูงถึง 75,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.4% โดยกลุ่มผู้เลี้ยงกว่า 65% มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนลูกในครอบครัว พฤติกรรมนี้ผลักดันให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยสูงถึง 41,100 บาทต่อตัวต่อปี
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดได้แก่ การดูแลสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม มีการขยายไปถึงการสร้างตัวตนในโลกโซเชียล (Petfluencer) ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น การซื้อสินค้าแฟชั่นและอุปกรณ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อดึงดูดผู้ติดตาม เทรนด์นี้ยังสอดคล้องกับการเติบโตของสินค้าใหม่ เช่น อาหารเกรดพรีเมี่ยม และการบริการสระว่ายน้ำ คลินิกเฉพาะทาง รวมถึง Pet Wellness Center
สอดรับกับการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสัตว์เลี้ยง โดยธุรกิจสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงมีความหลากหลาย เช่น Pet Tech ที่พัฒนาในเกาหลีและสิงคโปร์ ซึ่งรวมถึงบ้านเก็บเสียง เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง ทั้งยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันด้านสุขภาพสัตว์เลี้ยง เช่น ZumVet ที่ให้บริการ Telemedicine และการดูแลสุขภาพออนไลน์ โอกาสในไทยยังเปิดกว้างสำหรับการพัฒนานวัตกรรม เช่น สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงพิการ
ดังนั้น โอกาสทางธุรกิจและการพัฒนาในอนาคต มองว่าแม้ตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยมีความหลากหลาย แต่ยังมีโอกาสขยายตัว เช่น สินค้าสำหรับสัตว์ Exotic และเทคโนโลยีช่วยเหลือสัตว์พิการ นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ระดับโลก อย่างการส่งออกสินค้าไปยังสิงคโปร์หรือประเทศที่รักสัตว์มากๆด้วย
7. Health and Wellness Take Center Stage
แม้สถานการณ์โควิดทั่วโลกจะเริ่มสาลงแล้ว แต่ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวผลักดันให้คนทั่วโลกดูแลสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เทรนด์ “Health and Wellness” เป็นเมกะเทรนด์ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สถาบันด้านสุขภาพสากล หรือ Global Wellness Institute (GWI) เปิดเผยว่า ตลาดการดูแลสุขภาพทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตที่อัตรา 8.6% ต่อปี โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 306 ล้านล้านบาท ในปี 2027 เทียบกับปี 2020 ที่มีการเติบโตเกือบสองเท่า สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยในหลายประเทศ เช่น ประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบในปี 2024 พร้อมด้วยจำนวนประชากรสูงวัย 13 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทำให้เกิดความต้องการที่สูงขึ้นในสินค้าบริการด้านสุขภาพและการดูแล
แม้แต่บทบาทของเทคโนโลยีและ AI ก็มีส่วนในการดูแลสุขภาพ เช่น การใช้โปรแกรม ChatGPT ช่วยวางแผนมื้ออาหารและปรับปรุงนิสัยการกิน ผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการและสุขภาพได้สะดวก นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดย 51% ของผู้ตอบแบบสำรวจทดลองสูตรอาหารใหม่ และ 42% ลองผลิตภัณฑ์ใหม่จากสิ่งที่พบในโซเชียลมีเดีย
ล่าสุด กิจกรรมสุดฮิตในโซเชียลมีเดีย ที่คนดังหลายคนทั้งในบ้านเราและต่างประเทศเริ่มนิยมมากขึ้น อย่าง Ice Bath การบำบัดด้วยความเย็น กำลังเป็นเทรนด์สุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้รักการออกกำลังกายและผู้ที่มองหาวิธีบำบัดร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ การแช่น้ำเย็นช่วยลดการอักเสบ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงประโยชน์ด้านจิตใจ เช่น การลดความเครียด และเพิ่มสมาธิอีกด้วย
ทิศทางธุรกิจเพื่อสุขภาพในอนาคต มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าอย่างน้อย 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 230 ล้านล้านบาท ภายในปี 2025 ธุรกิจในไทยตอบสนองต่อแนวโน้มนี้ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่รองรับความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม
8. The New Era of Creator Economy
หนึ่งในระบบเศรษฐกิจที่มาแรงต่อเนื่องข้ามปี ต้องยกให้กับ “Creator Economy” ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก สะท้อนได้จากมูลค่าเม็ดเงินวงการครีเอเตอร์ ตามรายงานของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าปัจจุบันอยู่ที่กว่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 480,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027 ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดโลก โดยคาดว่าอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท การเติบโตของ Creator Economy มี 6 ปัจจัยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังประกอบไปด้วย
“ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย” ที่ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่า 5,000 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทย 50 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “ความหลากหลายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย” ที่แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนคอนเทนต์ และความหลากหลาย ตอบรับพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคยุคนี้ที่สนใจเนื้อหาหลากหลาย
นอกจากนี้ในปัจจุบัน “จำนวนครีเอเตอร์ยังเพิ่มขึ้นมาก” โดยข้อมูลจาก Tellscore ฉายภาพว่าปัจจุบันทั่วโลกมีครีเอเตอร์ 200 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทย มีครีเอเตอร์แบบ Part-time ประมาณ 9 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นครีเอเตอร์มืออาชีพเต็มเวลา 2 ล้านคน
ในมุมของ “เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล” ก็เติบโตขึ้นด้วย โดยข้อมูลจาก Statista ฉายภาพเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล ปี 2024 สะพัดกว่า 660,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเป็น 730,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT รายงานเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลปี 2024 อยู่ที่ 33,859 ล้านบาท หรือเติบโตสูงถึง 16% ทั้งยังคาดว่ามีโอกาสแตะหลัก 40,000 ล้านบาทภายในไม่กี่ปีนี้
อีกปัจจัยสำคัญสร้างความเติบโตให้ Creator Economy ก็คือ “เครื่องมือ AI” ที่ทุกวันนี้มีเครื่องมือ AI มากมายในการช่วยครีเอเตอร์สร้างสรรค์คอนเทนต์ตั้งแต่ช่วยคิดไอเดีย เขียนสคริปต์ สร้าง Storyboard ทำวิดีโอ บริหารจัดการและวิเคราะห์คอนเทนต์ ไปจนถึงด้านการขาย
รวมไปถึงการเกิดขึ้นของ “Creator Commerce” โมเดลรายได้ของครีเอเตอร์ไม่ได้มาจากยอดการรับชม และแบรนด์สปอนเซอร์เท่านั้น แต่ยังมาจากหลายช่องทาง ซึ่งปี 2024 ต่อเนื่องมายังปี 2025 เป็นปีแห่ง “Affiliate Marketing” แบรนด์ทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ ที่มีรูปแบบการจ่ายที่หลากหลายทั้ง Commission base, Pay per post + Commission เช่น จ่ายค่าทำคอนเทนต์เล็กน้อย และผสมกับค่า Commission, Exclusive or Campaign-based เช่น มีนักไลฟ์ประจำแบรนด์จ้างระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี, Live Selling, Affiliate Clip (คลิปติดตะกร้า)
นอกจากนี้ในงาน iCreator ยังได้เผย 6 หมวดครีเอเตอร์ที่ได้รับความนิยมในไทยมาโดยตลอด ได้แก่
- Lifestyle
- Beauty & Fashion
- Travel
- Entertainment
- Gaming
- Food, Drink & Café
นอกจาก 6 หมวดดังกล่าวแล้ว ยังมีอีก 4 หมวดที่เติบโตสูงสุดในไทยในช่วง 2 ปีนี้ คือ Finance, Parenting (ครอบครัว แม่และเด็ก), Automotive, Health & Fitness
จากภาพรวม Creator Economy สะท้อนให้เห็นว่าปี 2025 ยังคงเป็นปีทองของวงการครีเอเตอร์ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เปิดกว้างให้กับทุกคน แต่การจะเป็นครีเอเตอร์ที่สามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จ และยืนระยะได้นาน ต้องมี “ตัวตน” ที่แตกต่าง พร้อมทั้งสร้าง “Community” เพื่อสื่อสารพูดคุยกับแฟนคลับ และไม่หยุดที่จะ “พัฒนา-ปรับตัว” อยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้คือ 8 เทรนด์ธุรกิจแห่งปี 2025 ที่นักการตลาด นักธุรกิจ และผู้นำองค์กรต้องรู้เอาไว้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการนำ Gen AI มาใช้ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม การปรับตัวอย่างคล่องแคล่ว การบุกตลาดโลก การเข้าใจตลาดสัตว์เลี้ยง การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และการใช้พลังแห่งคอนเทนต์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต