เคยสงสัยกันมั้ยว่า ทำไมหลายคนพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า แต่รถยนต์ไฟฟ้ากลับยังขายไม่ได้มากมาย ทั้งที่มีการโปรโมทกันใหญ่โตมากมาย รวมถึงภาครัฐก็ออกมาสนับสนุนเต็มที่ และเมื่อถอยห่างออกจากประเทศไทยแล้วมองภาพกว้างทั่วทั้งโลกจะเห็นว่า หลายประเทศเริ่มมาตรการจริงจังกับรถยนต์ไฟฟ้าจนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่ประเทศไทยภาครัฐออกมาสนับสนุนอย่างชัดเจน ส่วนค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็ออกมาขานรับทำตลาดมากขึ้น
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังมีบรรยากาศคึกคักมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังมีอุปสรรคมากมายที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานจนเกิดคำถามที่ว่า สนานีชาร์จกับรถยนต์ไฟฟ้าอะไรควรมีก่อนกัน เพราะผู้ใช้รถไม่กล้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าส่วนหนึ่งกลัววิ่งแล้วดับกลางทาง ขณะที่ผู้ให้บริการสถานีชาร์จก็กลัวไม่คุ้มค่าเมื่อลงทุนไปแล้ว เพราะจำนวนรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยอยู่
โครงสร้างพื้นฐานเตรียมขยายตัว
ปัจจุบันต้องเรียกว่าหลายฝ่ายต่างออกมาผลักดันให้โครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นให้ได้ ตั้งแต่การปรับแก้กฎหมายที่ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 หรือผู้ให้บริการปั๊มน้ำมันต่างๆ สามารถจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ รวมถึงการถอดสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าออกจากกฎหมายผังเมือง และการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าตามสถานที่ราชการ
ด้านเอกชนก็ออกมาขานรับทั้งห้าง อาคาร ออฟฟิศต่างก็มีการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง “แสนสิริ” ก็มีการสร้างจุดจอดรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชาร์จไฟสำหรับลูกบ้าน รวมไปถึงยักษ์ใหญ่อย่าง OR ที่เตรียมผุดสถานีชาร์จไฟเพิ่มขึ้นในจุดสำคัญต่างๆ รวมถึงการเพิ่มร้านค้าหลากหลายประเภทต่างๆ เพื่อรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ใช้เวลารอเพื่อชาร์จไฟ
“สถานีชาร์จไฟจะขยายตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และจะมีแอปฯ ต่างๆ ออกมารองรับการใช้งาน แต่สถานีชาร์จก็จะมีข้อจำกัด เพราะต้องใช้เวลานานไม่เหมือนการเติมน้ำมัน และข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่ทำให้การชาร์จมีการจำกัดจำนวนรถที่จะชาร์จ ซึ่งปัจจุบันจะเห็นว่าส่วนใหญ่สถานีชาร์จหลายแห่งกลายเป็นที่จอดรถ VIP ไปแทน” ผู้บริหารค่ายรถยนต์แห่งหนึ่งให้ความเห็น
อย่าลืมมองด้านลบเพื่อเตรียมพร้อม
ผู้บริหารค่ายรถยนต์แห่งหนึ่งยังให้ความเห็นว่า หลายคนมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางออกของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการปล่อยมลพิษ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริงแต่ต้องย้อมกลับไปดูถึงพลังงานไฟฟ้าที่วันนี้ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างก๊าซธรรมชาติที่มีการปล่อยมลพิษ จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ได้ในต้นทุนที่ถูก
นอกจากนี้ลองคิดดูว่า รถยนต์ไฟฟ้านำพลังงานไปเก็บไว้ที่ไหน แน่นอนว่าต้องเป็น “แบตเตอรี่” และถ้าแบตเตอรี่หมดอายุกลายใช้งานก็จะกลายเป็นขยะเทคโนโลยี ซึ่งไม่สามารถทำลายได้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากโรงงานทำลายขยะเทคโนโลยีที่ใกล้ที่สุดและมีเทคโนโลยีทำลายขยะได้ผล 100% อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งภาครัฐควรจะมีแผนออกมารองรับการกำจัดขยะเทคโนโลยีในอนาคต หากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตมากขึ้น
ดังนั้นในฐานะค่ายรถยนต์บอกเลยว่า มีความพร้อมในการสร้างตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ถ้าโครงสร้างทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมีความพร้อม นั่นจึงทำให้รถยนต์ในกลุ่มลูกผสมหรือรถยนต์ไฮบริดทั้ง HEV หรือ PHEV จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ของตลาดประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้รถคุ้นเคยกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานก็จะค่อยๆ ได้รับการพัฒนา แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งในอนาคตตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นแน่นอน
กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของรถยนต์ไฟฟ้า
หลังจากมองโครงสร้างพื้นฐานก็ต้องย้อนกลับมามองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่มีหลายค่ายออกมาทำตลาดจริงจัง ทั้งค่ายรถยนต์เดิมและค่ายรถยนต์ใหม่ที่มาจากประเทศจีน โดยกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% จะมีราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทต้นๆ ขณะที่กลุ่มรถยนต์ลูกผสมจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 9 แสนปลายๆ ถึง 1 ล้านบาทต้นๆ
หากเทียบราคากับเซ็กเม้นต์ของตลาดก่อนหน้านี้จะพบว่า ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ลูกผสมจะเทียบเท่าในกลุ่ม C-Segment ไปจนถึงกลุ่ม D-Segment ขณะที่ตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ของไทยจะอยู่ในกลุ่ม A-Segment และ B-Segment หรือให้เห็นภาพง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่เกิน 8 แสนบาท และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพนักงานเอกชน
ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ลูกผสมอาจคาบเกี่ยวระหว่างกลุ่ม B-Segment และ C-Segment แต่เพราะสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและหลายธุรกิจได้รับผลกระทบ จนส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ นั่นจึงทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ลูกผสมถูกขยับขึ้นมาอยู่ที่กลุ่ม D-Segment และกลุ่ม C-Segment
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมทั้งหมดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ลูกผสมที่ผ่านมาและจะเกิดขึ้นในปี 2022 แน่นอนว่าปีนี้โครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเติบโตเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น พอๆ กับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ลูกผสมรุ่นใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเติมขึ้นมา แต่สุดท้ายสถานการณ์โรคระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนจะยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่ม A-Segment และกลุ่ม B-Segment อย่างแน่นอน