‘รวมทุกเรื่องความงามไว้ในที่เดียว’
น่าจะเป็นคำพูดที่สื่อความเป็น ‘Eveandboy’ ได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อนึกถึงเรื่องการดูแลตัวเอง แค่ก้าวขาเข้าไปใน Eveandboy เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้สกินแคร์, เมกอัป หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เสริมความงามให้เราตั้งแต่หัวจรดเท้าในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งหนึ่งที่ทำให้ Eveandboy ก้าวสู่ปีที่ 20 ในฐานะหนึ่งในเชน Beauty Store ของไทย
ปัจจุบัน Eveandboy ขยายตัวไปทั้งในกรุงเทพ และหัวเมืองหลักต่างๆ รวมกว่า 30 สาขาแล้ว รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ‘คุณบอย-หิรัญ ตันมิตร’ ได้ปลุกปั้นแบรนด์มาตั้งแต่ยังเป็นร้านเครื่องสำอางเล็กๆ ในจังหวัดมหาสารคาม จนกลายเป็นร้านมัลติแบรนด์ด้านความงามอย่างทุกวันนี้ ผ่าน ‘5 Key Success Factors’ จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน
1.ความหลากหลายของแบรนด์ และกลุ่มสินค้า
เป็นจุดแข็งที่ได้เกริ่นไปในตอนแรก ซึ่งนับเป็นจุดแข็งที่ทำให้แบรนด์ Eveandboy เป็นที่จดจำว่าเข้ามาที่นี่ปุ๊บ ‘หาอะไรก็เจอ’ ด้วยสินค้ากว่า 100,000 SKUs รวมถึงเคาน์เตอร์แบรนด์ดังต่างๆ ทั้งยังมีราคาที่จับต้องได้ แม้จะเป็นสินค้าเคาน์เตอร์แบรนด์ก็มีราคาไม่ต่างจากชอปทั้งในไทย และต่างประเทศเอง
2.การจัดการสินค้าตั้งแต่ศูนย์กระจาย จนถึงสาขา
ในปี 2023 ที่ผ่านมา Eveandboy ขายสินค้าไปกว่า 23 ล้านชิ้น จากสินค้ามากกว่า 100,000 รายการ ทำให้เห็นว่าการประสบความสำเร็จตรงนี้ได้จะต้องมีการบริหารระบบคลังสินค้าได้ดี ซึ่งหนึ่งในหัวใจสำคัญคือเรื่องของ ‘ความเร็ว’ ที่ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทัน
ขนาดของร้านเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สาขาสามารถบริหารคลังสินค้าได้ โดยปกติแล้วขนาดมาตรฐานสโตร์ของ Eveandboy จะอยู่ที่ 500 ตารางเมตร แต่ในแฟลกชิปสโตร์อย่าง Underground Siam Square One หรือที่เตรียมจะเปิดตัวใหม่บริเวณ BTS Siam ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ก็มีขนาดถึง 1,000 ตารางเมตร ที่นอกจากจะรองรับสินค้าได้มาก ก็ยังรองรับปริมาณลูกค้าที่มากตามไปได้ด้วยเช่นกัน
โดยในอนาคต Eveandboy ได้เตรียมกลยุทธ์เปิดร้านในรูปแบบใหม่ๆ ที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป เพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้า และลักษณะของพื้นที่ตั้งด้วย
3.เพิ่มกลุ่มเป้าหมาย เมมเบอร์ชิปโปรแกรม สิทธิพิเศษสมาชิกอีฟแอนด์บอย
สำหรับฐานลูกค้าหลักของ EVEANDBOY อยู่ในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักของตลาดความงามที่มีมูลค่ากว่า 258,275 ล้านบาทอยู่แล้ว โดย 50% ของลูกค้าทั้งหมด เป็นกลุ่มอายุ 25-30 ปี และอีกกว่า 10% เป็นกลุ่มลูกค้าอายุ 18-24 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทรนด์ยุคนี้ ผู้บริโภคหันมาดูแลตัวเอง และใช้ผลิตภัณฑ์ความงามตั้งแต่อายุยังน้อยมากขึ้น
อย่างไรก็ตามฐานลูกค้าสองกลุ่มของ EVEANDBOY ก็มีพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้า 25-30 ปี มีความถี่ในการซื้อ 4 ครั้งต่อปี และด้วยความที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน จึงมีความสามารถในการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้มียอดใช้จ่ายต่อบิลสูงกว่า ในขณะที่กลุ่มลูกค้า 18-24 ปี ยอดใช้จ่ายต่อบิลน้อยกว่า แต่มีความถี่ในการมาช้อปที่ร้านมากว่า โดยเฉลี่ย 5 ครั้งต่อปี และนิยมซื้อสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง
นอกจากการมีฐานลูกค้ากลุ่ม Gen Y – Gen Z แล้ว “Loyalty Program” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายแบรนด์ใช้ เช่นเดียวกับ EVEANDBOY ที่มีระบบสมาชิกให้ลูกค้ารับ 10 คะแนน ต่อการซื้อสินค้า 1 ชิ้น โดยปัจจุบัน EVEANDBOY มีฐานสมาชิกกว่า 2,000,000 คน ซึ่งทาง EVEANDBOY เตรียมแผนสิทธิประโยชน์ใหม่สำหรับสมาชิกโดยเฉพาะ และมีกำหนดการจะประกาศในช่วงกลางปีนี้
4.เอ็กซ์คลูซีฟพาร์ตเนอร์
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สุดของ EVEANDBOY ในการเป็นบิวตี้รีเทลเลอร์ที่มี Exclusive Brand มากที่สุดในไทย เช่น Kylie Cosmetic ซึ่งจะจัดจำหน่ายสินค้าผ่าน EVEANDBOY แต่เพียงผู้เดียวถึง 30 แบรนด์ ทั้งยังมี Exclusive Item ที่ออกแบบ และจัดจำหน่ายร่วมกับ EVEANDBOY โดยเฉพาะกว่า 3,000 รายการ
5.กลยุทธ์ Award Marketing
นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างภาพจำของ EVEANDBOY ทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ที่ได้รับรางวัลด้วย โดยในงาน EVEANDBOY BEST SELLING AWARD 2023 นี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 5 ประเภท รวม 108 รางวัล คือ น้ำหอม (Fragrance), เครื่องสำอาง (Makeup), ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skincare), ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย และอาหารเสริม (Body and Supplements) และ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และอุปกรณ์ต่างๆ (Hair and Accessories)
‘Set Beauty Trend ด้วย Data นำหน้าเพื่อตอบรับลูกค้าด้วย ข้อมูล’
EVEANDBOY เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทั้ง 5 เกิดมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เช่น ความสนใจของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ หรือยอดขายสินค้าขายดีที่มักจะหมดไว เพื่อวิเคราะห์เส้นทาง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ EVEANDBOY ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วอยู่เสมอ
