ปิดฉากลงไปเรียบร้อย กับ ซีซัน 2 ของ House of the Dragon ซีรีส์ Spin-off จาก Game of Thrones ที่พาเราไปดื่มด่ำกับการห้ำหั่นกันของฝั่งดำ และฝั่งเขียว ทั้งด้วยวาจา คมดาบ และไฟจากเหล่ามังกร ไปจนถึงการถ่ายทอดความสัมพันธ์อันซับซ้อนของอดีตเพื่อนรักอย่างตัวละคร Rhaenyra และ Alicent ผ่านฝีมือการแสดงระดับตัวแม่อย่าง Emma D’Arcy และ Olivia Cooke ที่สานต่อบทแห่ง ‘Dance of the Dragons’ ได้อย่างเข้มข้น
กวาดผู้ชมตลอดซีซัน 25 ล้านคน แม้ตามหลังซีซันแรก แต่ฐานผู้ชมละตินอเมริกา-ยุโรป โตก้าวกระโดด
ตามข้อมูลจาก Warner Bros. Discovery พบว่า ในตอนแรกของ House of the Dragon ซีซัน 2 มีผู้ชมกว่า 7.8 ล้านคน ตามหลังซีซันก่อนหน้าที่เปิดตัวตอนที่หนึ่งด้วยผู้ชม 10 ล้านคน ก่อนจะปิดซีซันในตอนที่ 8 ด้วยยอดผู้ชม 8.9 ล้านคน รวมแล้วมีผู้ชมกว่า 25 ล้านคนตลอดทั้งซีซัน ผ่านสตรีมมิ่งในเครือ HBO
Samba TV ยังเผยเพิ่มเติมอีกว่า แม้การรับชมรอบปฐมทัศน์ของซีซัน 2 ภายในสหรัฐฯ จะลดลงกว่า 50% (จาก 2.6 ล้านครัวเรือนในซีซัน 1 และ 1.3 ล้านครัวเรือนในซีซัน 2) แต่นอกพื้นที่อเมริกาอย่างในแถบละตินอเมริกายอดผู้ชมเติบโตขึ้นกว่าซีซันแรก ถึง 30% และทาง Warner Bros. Discovery ยังระบุด้วยว่าการเปิดตัว ซีซัน 2 ของ House of the Dragon ประสบความสำเร็จในยุโรปมากกว่าซีรีส์เรื่องไหนๆ บนแพลตฟอร์ม
แม้ว่าตัวเลขผู้ชมของ House of the Dragon ซีซัน 2 จะลดลงในสหรัฐอเมริกา แต่ความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นในตลาดต่างประเทศ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ผลงานซีรีส์จาก HBO สามารถดึงดูดผู้ชมได้ในวงกว้าง แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันยอด Subscriber ในเซกเมนต์ Direct-to-Customer ของ Warner Bros. Discovery ซึ่งรวมช่อง HBO, MAX และ BluTV จะอยู่ที่ 99.6 ล้านคน และมีรายได้ทั้งเซกเมนต์ ในไตรมาสแรกปี 2024 ที่ 2,460 ล้านดอลลาร์
เมื่อวิเคราะห์จากรายงานผลประกอบการของ Warner Bros. Discovery ทำให้เห็นว่าเซกต์เมนต์ DTC นี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ เป็นผลมาจากการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน จนกลายเป็นกุญแจที่ทำให้ HBO สามารถรักษาคุณภาพ และกระแสความนิยมในฐานคนดูซีรีส์ตระกูล HBO Originals ได้อย่างมั่นคง และวันนี้เราจะมาเจาะลึกกลยุทธ์ และแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานฉบับ HBO กัน
เจาะ 4 กลยุทธ์ทำซีรีส์ แบบ ‘HBO Originals’ เมื่อ ‘คุณภาพ’ สำคัญกว่า ‘ปริมาณ’
1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘คุณภาพ’ เป็นอันดับแรก
‘Content is King’ แทนที่จะเร่งผลิตเนื้อหาไร้คุณภาพ เพื่อเพิ่มปริมาณคอนเทนต์ในช่อง ทาง HBO เลือกที่จะผลิตรายการคุณภาพสูงไม่กี่รายการแทน และสะท้อนความสำเร็จผ่านซีรีส์ Originals แต่ละเรื่องไม่ว่าจะเป็นตัว House of the Dragon เอง ไปจนถึง Euphoria, The White Lotus และ The Last of Us
ในช่วงปี 2022 ทาง HBO เดินหน้าแผนเพิ่มฐานผู้ชมให้มากขึ้น โดยมองว่าการเพิ่มเนื้อหาที่ตอบโจทย์รสนิยมความบันเทิงที่หลากหลายของผู้ชมจะช่วยให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้ แต่เมื่อการสร้างเนื้อหาคุณภาพต้องใช้เวลา ทาง HBO จึงใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการกับ Discovery เพื่อเพิ่มเนื้อหาประเภทเรียลลิตี้โชว์ และสารคดีชื่อดังบนแพลตฟอร์ม อย่างเช่น ‘Fixer Upper’ และ ‘Naked and Afraid’ โดยไม่กระทบกับคุณภาพโดยรวมของเนื้อหา และการพัฒนาซีรีส์ในแบรนด์ HBO เลย
โดยในงานประกาศรางวัล Emmy Awards 2022 ที่ผ่านมา ซีรีส์จาก HBO และ HBO Max ร่วมกันคว้ารางวัลไปกว่า 38 รางวัลจาก 13 รายการ และเป็นช่องสตรีมมิ่งที่คว้ารางวัลมากที่สุดในปีนั้น นำทัพโดย ‘White Lotus’ ที่กวาดรางวัลไป 10 รางวัล ใน 13 สาขาที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ตามมาด้วย Euphoria 6 รางวัล และ Succession 4 รางวัล ส่วนในปี 2024 นี้ เป็นคิวของซีรีส์ Succession ที่ได้คว้ารางวัล ‘ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม’ พร้อมกับกวาดรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากทั้งฝั่งชาย และฝั่งหญิงกลับมาด้วย
2. ยินดีที่จะเสี่ยง และเชื่อในสิ่งที่ทำ
เป็นเรื่องปกติของแบรนด์ที่จะเดินไปตามทิศทางความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก แม้บางครั้งอาจต้องละทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ แต่ HBO เชื่อในสัญชาตญาณ และจะทำในสิ่งที่ทำอยู่จนสำเร็จลุล่วง นอกจากนี้ ยังพร้อมจะเปิดไฟเขียวให้กับไอเดียที่แม้จะดูแหวกแนว หรือเฉพาะกลุ่มเกินไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ซีรีส์เรื่อง The Sopranos ที่แม้จะเคยมีผลตอบรับจากผู้ชมไม่น่าพอใจนัก แต่ทาง HBO ก็ยังยืนยันพัฒนาซีรีส์เรื่องนี้ต่อ จนในที่สุด The Sopranos สามารถคว้ารางวัล Emmy Awards กลับมาให้ HBO ได้ถึง 21 รางวัล
3. ให้อิสระทางความคิดอย่างเต็มที่กับทีมผู้สร้างซีรีส์
HBO มองว่าทุกคนมีแนวทาง และสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน จึงให้อิสระอย่างเต็มที่แก่ทีมผู้สร้างในการทำตามไอเดีย และจินตนาการ แถมยังกล้าทุ่มทุนสนับสนุนคนเก่งๆ ด้วย ทำให้ HBO สามารถดึงดูดตัวท็อปวงการอย่าง Steven Spielberg และ Tom Hanks มาร่วมทัพด้วยได้ ซึ่งแนวทางนี้เองคือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ทีมทำงานของ HBO สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ด้วยใจที่รัก และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ส่งผลให้รักษาเอกลักษณ์ และคุณภาพของซีรีส์ได้อย่างต่อเนื่อง
4. ไม่ดูถูกผู้ชม
ซีรีส์จาก HBO มักหยิบยกนำวรรณกรรมขึ้นมาพัฒนาต่อ โดยใช้การเล่าเรื่องแบบเป็นนัย แทนการนำเสนอแบบเป็นเส้นตรง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นซีรีส์ของ HBO หลายเรื่องที่แปลก และดูยาก แต่การดูซ้ำมากกว่าหนึ่งรอบจะทำให้เราเห็นว่ามีประเด็นสำคัญต่างๆ สอดแทรกอยู่ในเรื่องราวเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ซีรีส์ Six Feet Under ซึ่งนำเสนอเรื่องราวการเผชิญหน้ากับความตาย ไปพร้อมกับการเป็นเกย์ในอาชีพที่เคร่งครัด ที่ทำให้ต้องรับมือกับพ่อแม่ที่ต่อต้าน และพี่น้องที่พร้อมจะมีปัญหากับเราตลอดเวลา
นอกจากนี้ HBO ยังกล้านำเสนอเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา ซึ่งรวมไปถึงฉากเปลือย การพูดคุยเรื่องเพศอย่างเปิดเผย และการใช้คำหยาบ แม้กระทั่งมีฉากอีโรติก โดยเชื่อมั่นในวุฒิภาวะและความเข้าใจของผู้ชม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของซีรีส์ HBO ด้วย
ความสำเร็จของ HBO Originals เกิดจากการให้ความสำคัญกับคุณค่าทางศิลปะ และการเคารพผู้ชม ซึ่งแม้จะเป็นในยุคที่การแข่งขันด้านปริมาณเนื้อหาทวีความรุนแรง ทาง HBO แสดงให้เห็นว่าการยืนหยัดในคุณภาพ และความกล้าที่จะแตกต่างกลับเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว
Sources: Warner Bros Discovery Earnings Results Q1/2024, Bloomberg, Profiletree, Deadline, Variety