ขณะที่ Generation Z กำลังมีบทบาทในโลกยุคปัจจุบัน เวทีของ Generation ใหม่ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า นั่นคือ “Gen Beta” ผู้ที่เกิดมาพร้อมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงทางสังคม แม้ Gen Beta จะยังไม่เกิด แต่เราสามารถคาดการณ์บางเรื่องได้จากบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
มาทำความเข้าใจกันว่า พวกเขามีลักษณะอย่างไร ต้องเติบโตในบริบทแบบไหน พบเจอความท้าทายอะไรบ้าง แล้วธุรกิจจะพร้อมรับปรับตัวเพื่อพวกเขาอย่างไรในบทความนี้
Gen Beta คืออะไร
Generation Beta หรือ Gen Beta คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ. 2568 – 2582 คนเจเนอเรชันนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการผสมผสานระหว่าง ประสบการณ์ของมนุษย์ ชีววิทยา และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็น รากฐานยุคใหม่ นำไปสู่ยุคที่เรียกว่า “ยุคแห่งการก้าวข้าม” (Transcendent Age) พวกเขาจะเปลี่ยนผ่านจากยุคที่สามารถ “รู้” ได้ทุกอย่าง ไปสู่ยุคที่สามารถ “ทำ” ได้ทุกอย่าง ซึ่งเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของศักยภาพมนุษย์และการพัฒนาสังคม
- การผสมผสานระหว่าง ประสบการณ์ของมนุษย์ ชีววิทยา และเทคโนโลยี หรือ The Tri-Junction of Human Experience, Biology and Technology คือ การเติบโตขึ้นมาในโลกที่มีการบูรณาการความรู้ด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีชีวภาพ และความเป็นจริงเสมือน ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีคิด การทำงาน และการใช้ชีวิตของพวกเขา
- รากฐานของยุคใหม่ หรือ Foundation of a New Age คือ การผสมผสานนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำไปสู่ยุคใหม่ ที่มนุษย์สามารถอาศัยเทคโนโลยีและความรู้ทางชีววิทยา มาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Gen Beta ถือเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เกิดหลังยุคโควิด พวกเขาเติบโตขึ้นมาในยุคเทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง AI, VR, และหุ่นยนต์ ทำให้มีความสามารถในการใช้งานและพัฒนานวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการปลูกฝังเรื่องจริยธรรมการรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมจากพ่อแม่ Generation Z และสื่อออนไลน์ด้วยแล้วนั้น Gen Beta จึงถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
นิสัยของ Gen Beta
Gen Beta เติบโตขึ้นมาในโลกดิจิทัล ทำให้คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีตั้งแต่อายุน้อย หุ่นยนต์จะมีบทบาทหลักในชีวิตของพวกเขา อีลอน มัสก์คาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2583 จะมีหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ถึง 1 ล้านตัว ซึ่งส่งผลพฤติกรรมของ Gen Beta อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ พวกเขายังมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นอิสระ เปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ และไม่กลัวที่จะคิดนอกกรอบ มากไปกว่านั้น Gen Beta จะมีความรับผิดชอบต่อสังคม ใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน มีความตระหนักรู้ถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่โลกเผชิญ พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากกว่าหางานทำ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ Gen Z และสื่อออนไลน์ให้กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ตั้งแต่อายุน้อย
มากไปกว่านั้น Mark McCrindle นักวิเคราะห์สังคมและประชากรศาสตร์ มีการคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2578 หรืออีก 11 ปีข้างหน้า Gen Beta จะมีจำนวนถึง 16% ของประชากรโลกที่เกิดจากกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z
นั่นหมายความว่า แต่ละ Generation จะต้องอยู่ร่วมกับ Gen Beta และปรับตัวเข้าหากัน โดยตระหนักบนพื้นฐานที่ Gen Beta เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี รุ่นเก๋าอย่าง Gen Baby Boomer รวมถึง Gen X, Millennials, Gen Z, Gen Alpha จำเป็นที่ต้องปรับรูปแบบการสื่อสาร และการเรียนรู้ระหว่างกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากศักยภาพของแต่ละ Generation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงในยุค Gen Beta
ในฐานะที่พวกเขาจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคในอนาคต ความชอบ พฤติกรรม และค่านิยมการบริโภคของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของตลาด รวมถึงประสบการณ์การบริโภค การทำความเข้าใจความต้องการและความท้าทายของ Gen Beta จะช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค มาดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในยุค Gen Beta ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
1. ความสามารถเหนือขีดจำกัด (Hyper-Powered Capabilities)
การพัฒนาเทคโนโลยีและชีววิทยาที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้เจนเนอเรชันนี้มีความสามารถเหนือกว่า Generation ก่อนอย่างไม่เคยมีมา ซึ่งเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้และการทำงานให้เหมาะกับแต่ละคน หรืออย่างด้านสุขภาพนั้น ก็จะถูกปรับให้แต่ละคนได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคและเยียวยารักษา โดยการใช้เทคโนโลยี DNA เพื่อตรวจสอบความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือ โรคทางพันธุกรรม ช่วยให้คนมีอายุขัยมากขึ้น
ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มคุณภาพชีวิต ทั้งทางกายและสติปัญญา แต่ยังช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีที่เจนเนอเรชันก่อน ๆ ไม่เคยคิดมาก่อน
2. AI และการตัดสินใจ (AI and Decision Making)
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (US NIH) พบว่า ต่อไปคนจะมอบหมายให้ AI วินิจฉัยโรคแทนแพทย์ที่เป็นมนุษย์ เพราะ Generation นี้เป็นรุ่นแรกที่สามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองได้ ซึ่งต่างจากคน Generation ก่อน ๆ ที่มอบข้อมูลดังกล่าวให้กับบริษัทต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่ Gen Beta จะสามารถควบคุมได้ว่า ใครสามารถเข้าถึงข้อมูลของเขาและจะใช้งานข้อมูลนั้นอย่างไรบ้าง โดยให้ AI ช่วยประมวลผลและปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา
ฉะนั้น การตัดสินใจของ Generation นี้จะใช้ข้อมูลเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า “data-driven” โดยมี AI เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวในชีวิตประจำวัน
3. เทรนด์การตั้งครรภ์ (Conception Trends)
เจมี เมตเซิล จากองค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่า ในอีก 50 ปี ทารกที่เกิดในห้องทดลองจะกลายเป็นเรื่องปกติ จากการพัฒนาเทคโนโลยีการสืบพันธุ์ ที่ช่วยป้องกันโรคทางพันธุกรรมและสามารถเลือกคุณสมบัติที่ต้องการได้ ทำให้เทคโนโลยีนี้แพร่หลายและเข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบครอบครัวและสุขภาพของมนุษย์ จากยุคเดิมสู่ยุคใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง
4. การมุ่งเน้นสุขภาพจิต (Mental Health Focus)
พ่อแม่จาก Generation Z ได้เผชิญกับความท้าทายเรื่องจิตใจและอารมณ์ จากความผันผวนของเศรษฐกิจ สังคม และโรคระบาด พวกเขาจึงตระหนักถึงความสำคัญของการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตที่ดี เน้นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมความเท่าเทียมและความหลากหลาย ส่งผลให้ Gen Beta มีความยืดหยุ่น ปรับตัวสูง มุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและยอมรับความแตกต่าง
ความท้าทายที่ Gen Beta เผชิญ
ผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค Gen Beta ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และจำเป็นต้องเตรียมตัวและปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ภายใน 2040 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 9.3 เซนติเมตร
2. สงคราม (War)
ความขัดแย้งระหว่างประเทศและการแบ่งฝ่ายของนานาประเทศ รวมทั้งภัยคุกคามจากจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ จะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางกายภาพและโลกไซเบอร์อย่างชัดเจน
3. ความเป็นส่วนตัว (Privacy)
แนวคิดความเป็นส่วนตัวหรือการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจะหายไป เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นส่วนตัว ในขณะที่ “สิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล” จะกลายเป็นประเด็นระดับโลก เพราะรัฐบาล องค์กร และบุคคลทั่วโลกต้องจัดการสิทธิเพื่อปกป้องและควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
4. เหตุการณ์ใหญ่ของสังคม (Major Societal Events)
การสูญพันธุ์และผลกระทบวงกว้างของภาวะโลกร้อนจะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของ Gen Beta ในขณะเดียวกัน กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงชีวิตคนไปเช่นกัน เช่น การท่องเที่ยวในอวกาศ การติดต่อทางกระแสจิตเสมือน เป็นต้น
5. ความจริง (The truth)
การแยกแยะระหว่างเรื่องจริงและเรื่องสมมติจะยากขึ้น เพราะเนื้อหาจริงถูกผสมกับเทคโนโลยีเสมือน ส่วนเนื้อหาสมมติกลับถูกสร้างให้ดูสมจริง ความเข้าใจในความจริงและแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ จึงกลายเป็นความท้าทายยิ่งขึ้น
การเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในอนาคต
ทำไม dentsu ต้องศึกษา Gen Beta
Gen Beta คือ กลุ่มผู้บริโภคหลักในอนาคต การเข้าใจความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญจะช่วยให้เราสามารถพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของพวกเขาได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้การศึกษาพฤติกรรมและนิสัยของพวกเขาช่วยให้เราสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจและยั่งยืน รวมทั้ง เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้ากลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว
“การตลาดผ่านเลนส์สังคมมนุษยวิทยาที่มีกลไกเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อน Gen Beta จะเป็นผลผลิตแห่งอิทธิพล AI และวัฒนธรรมสายพันธุ์ใหม่ที่ระบบเศรษฐกิจจะไม่เหมือนเดิม” Oliver Kittipong Veerataecha (Group Chief, Brand Innovation & Marketing of Dentsu Group Thailand)
ธุรกิจรับมือกับ Gen Beta อย่างไร
จากข้อมูลของ Gen Beta ข้างต้น ช่วยให้เราเห็นว่านวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นแนวคิดใหญ่ที่มีบทบาทกับ Gen Beta ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ธุรกิจสามารถเตรียมพร้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงสู่ Gen Beta
1. ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ธุรกิจจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัยและน่าสนใจ ผ่านนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่าง AI, VR, AR, หุ่นยนต์, บล็อกเชน ฯลฯ เพราะ Gen Beta มีความคาดหวังสูงต่อประสบการณ์ดิจิทัลที่ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ในเชิงฟังก์ชัน แต่ยังต้องสร้างสรรค์และใช้งานง่าย รวมถึง การได้รับประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้และเป็นส่วนตัว
2. มีความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน
ธุรกิจจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค Gen Beta ได้ผ่านการสร้างแบรนด์ที่เน้นเรื่องความยุติธรรมทางสังคม การมีส่วนร่วมในสังคม การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินงานที่ยั่งยืน เพราะ Gen Beta ได้รับการปลูกฝังประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงภาวะโลกร้อนและปัญหาสังคมที่ต้องเผชิญ พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
3. กลยุทธ์ในการรวบรวมและจัดการข้อมูล
Gen Beta มีความหลากหลายทางอัตลักษณ์สูง ซึ่งแสดงออกผ่านทางอวตาร์หรือโลกดิจิทัล บวกกับยุคที่ Gen Beta “สามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองได้” ยิ่งทำให้ธุรกิจจำเป็นอย่างมากที่ต้องมีกลยุทธ์ในการรวบรวมและจัดการข้อมูลผู้บริโภค ทั้งในแง่การสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ และการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ที่สร้างสรรค์และเป็นอิสระ เพื่อให้เข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคด้วยประสบการณ์ที่ดี
สรุป
Gen Beta เป็นยุคแห่งการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของศักยภาพมนุษย์และการพัฒนาสังคม และเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนอนาคตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ที่สามารถแก้ปัญหาอันซับซ้อนได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันก็เผชิญกับความท้าทายใหญ่ระดับโลก ในฐานะที่พวกเขาจะเป็นผู้บริโภคหลักในอนาคต ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวโดยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ดำเนินงานอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงมีกลยุทธ์ในการรวบรวมและจัดการข้อมูลเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ตรงใจ และนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของ Gen Beta
บทความโดย: Oliver Kittipong Veerataecha (Group Chief, Brand Innovation & Marketing of Dentsu Group Thailand) และ Siwalai Srisatriyanon (Project Management Associate, Dentsu Group Thailand)
อ้างอิง: Dentsu , Forbes , Foxbusiness , Waggaslifefm , Workwaves , VoaNews , Unishanoi