
รู้หรือไม่ว่าแบรนด์ Lotus Arts de Vivre ที่กำลังเป็นที่พูดถึงเวลานี้ เป็นแบรนด์จากประเทศไทย
Lotus Arts de Vivre (อ่านว่า โลตัส อาร์ต เดอ วีฟร์) เรียกย่อๆว่า “ลาดีวี”(LAdV) เป็นแบรนด์เครื่องประดับและของแต่งบ้านแบรนด์ไทยระดับ Luxury ที่ไม่ได้โด่งดังแค่ในไทย แต่ยังดังไปทั่วโลก และดังมานานกว่า 40 ปีแล้วด้วย
Lotus Arts de Vivre ดังระดับที่ แม้แต่ ไมเคิล แจ๊คสัน ราชาเพลงป็อประดับโลกยังเคยซื้อ “กระเป๋า” ของแบรนด์นี้ให้กับเพื่อนสนิทอย่าง อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ดาราระดับตำนานมาแล้ว
Lotus Arts de Vivre เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นแบรนด์ดังระดับโลก แล้วทำไมถึงขายสร้อยราคาหลายสิบล้านได้ อะไรคือวงการ Branded Jewelry ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับแต่เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน
Marketing Oops! สรุปให้อ่านในโพสต์นี้
ความหลงไหลศิลปะสู่ธุรกิจครอบครัวระดับโลก
Lotus Arts de Vivre ก่อตั้งขึ้นโดยชายชาวเยอรมัน ที่ชื่อว่า รอล์ฟ วอน บูเรน (Rolf Von Bueren) คุณรอล์ฟ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในฐานะตัวแทนบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ในปีพ.ศ. 2505 คุณรอล์ฟมีภรรยาลูกครึ่งไทย-สก็อตแลนด์ชื่อคุณ “เฮเลน วอน บูเรน” ทั้งคู่มีลูกชาย 2 คนคือคุณ “ศรี” และ คุณ “นิกกี้” วอน บูเรน ทายานรุ่นที่ 2 ที่เวลานี้ก้าวขึ้นมาบริหารแบรนด์ LAdV แทนคุณพ่อแล้ว

คุณรอล์ฟเล่าว่าเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยหลังจากลูกชายทั้งสองคนไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยในเวลานั้นคุณเฮเลน เริ่มทำงานศิลปะเป็นงานอดิเรก ส่วนคุณรอล์ฟเองก็ชื่นชอบศิลปะสไตล์เอเชียอยู่แล้วเลยตัดสินใจ “สร้างแบรนด์ที่ผสมผสานความประณีตของงานศิลปะของไทยและภูมิภาคเอเชียเข้าไปในงานชิ้นต่างๆ”
ร้านแรกที่โรงแรมเพนนินซูล่า
โดยงานที่คุณรอล์ฟออกแบบเป็นชิ้นแรกๆก็คือ “เข็มขัด” และ “รองเท้า” ที่ทำขึ้นมาใช้เอง เริ่มผลิตให้กับคนในครอบครัว และเพื่อนๆ ใช้ ก่อนจะนำออกขาย ตามมาด้วยงานสร้างชื่อชิ้นต่อมา
คุณรอล์ฟเปิดร้านเครื่องประดับสาขาแรกที่ โรงแรมเพนนินซูล่า ที่เพิ่งมาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และ ด้วยดีไซน์ของจิวเวลรี่ของคุณรอล์ฟ ที่แปลกไม่เหมือนใคร เช่น เอาเขี้ยวหมูมาประดับด้วยทองและเส้นไหม เครื่องประดับที่สร้างขึ้นด้วยของที่คนนึกไม่ถึงว่าจะทำเป็นเครื่องประดับได้
การออกแบบที่ไม่เหมือนใครนี้ถูกใจลูกค้าต่างชาติมากมาย หลายคนชอบจนถึงกับต้องบินมาซื้อที่ประเทศไทย และนับตั้งแน่นั้นแบรนด์ Lotus Arts de Vivre ก็ถือกำเนิดขึ้น
Lotus Arts de Vivre ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบดอกบัว
แล้วชื่อแบรนด์ Lotus Arts de Vivre แปลว่าอะไร? คำนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบดอกบัว” โดย คำว่า “Lotus” หมายถึง ดอกบัว ส่วน “Arts de Vivre” เป็นวลีภาษาฝรั่งเศสที่หมายถึง “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิต”

เมื่อรวมกัน “Lotus Arts de Vivre” ก็จะสื่อถึงแนวคิดของการใช้ชีวิตที่ผสมผสานความสง่างาม ความบริสุทธิ์ และความมีรสนิยมเข้าด้วยกันซึ่ง คุณรอล์ฟ เคยเล่าเอาไว้ว่า
“ผมตั้งชื่อ โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์ เพราะดอกบัวเป็นดอกไม้สะอาดในโคลนที่ไม่สะอาดเลย”
พูดง่ายๆก็เหมือนกับการสร้างสรรค์สิ่งที่คนนึกไม่ถึงให้กลายเป็นงานศิลปะมีค่าเหมือนกับดอกบัวที่สวยงามนั่นเอง
งานคราฟต์ที่ใช้วัตถุดิบที่ไม่ธรรมดา
หากพูดถึง LAdV ว่าแตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร แฟนๆของแบรนด์นี้ต้องบอกเหมือนกันว่าความประณีตของงานศิลป์และการใช้วัสดุที่ไม่ธรรมดา
LAdV จะคัดสรรวัตถุดิบจากทั่วโลก ตั้งแต่อัญมณีหายาก อย่างเช่น เพชรโกลคอนดา มรกตโคลอมเบีย ของจากธรรมชาติที่เราอาจไม่เคยเห็นในเครื่องประดับหรูๆ เช่น เมล็ดพืช, เปลือกมะพร้าว, หนังปลากระเบน, หรือแม้แต่ “ปีกแมลงทับ”

อีกเรื่องที่ LAdV โด่งดังก็คือ “งานฝีมือ” ระดับ “สุดยอด” มีการนำเทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิมจากทั่วโลกมาใช้ในชิ้นงานต่างๆ เช่น การเจียระไนพลอยจากอินเดีย การแกะสลักไม้จากอินโดนีเซีย งานถมเงินจากไทย หรือการลงรักแบบญี่ปุ่น
เพื่อให้ได้เทคนิคพวกนี้แบบของแท้ของจริง LAdV จะส่งทีมงานไปทั่วเอเชียเพื่อหาช่างฝีมือของจริงในแต่ละด้านมาผลิตชิ้นงาน นอกจากนี้ส่วนใหญ่เครื่องประดับของพวกเขาก็ทำขึ้นแบบ”ชิ้นเดียว” ไม่เน้นผลิตเยอะๆ เพื่อรักษางานฝีมือแบบดั้งเดิม

กระบวนประณีตเหล่านี้ทำให้ได้ผลงานที่เหมือนกับงานศิลปะระดับ Master Piece ก็ว่าได้
ไม่ใช่แค่เครื่องประดับแต่เป็นสินทรัพย์สำหรับนักลงทุน
ด้วยความพิเศษของการผลิตระดับงานศิลป์ และได้รับความสนใจจาก “คนดังและคนในสังคมชั้นสูง” ทำให้ชิ้นงานแต่ละชิ้นไม่ใช่เพียงแค่เครื่องประดับธรรมดาแต่ยัง กลายเป็น Branded Jewelry ที่คนมีเงินซื้อเก็บไว้เป็นสินทรัพย์เพื่อการ “ลงทุน” ด้วย

อย่างสร้อยคอของ “มาดามเมนี่” ที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เป็นสร้อย Lotus Arts de Vivre รุ่น Zambian Emerald & Diamond Necklace ที่มีชิ้นเดียวในโลก โดยเธอได้มาจากงานประมูล GREASE HOUSE THANK YOU PARTY MAHARANEE SEASON 9 ที่จัดขึ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 2566 ด้วยมูลค่า 26.44 ล้านบาท
ถามว่าทำไมเครื่องประดับแบรนด์Lotus Arts de Vivre รวมถึงเครื่องประดับของอีกหลายๆแบรนด์ทำไมถึงมีราคาสูงหลักแสนไปจนถึงหลายสิบล้าน และหากคำนวนกันดีๆ ราคาของมันเกินกว่ามูลค่าของวัสดุต่างๆที่นำมาผลิต และยังมีราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
คำตอบก็มีหลายเหตุผล นอกจาก ชื่อเสียงประวัติศาสตร์ของแบรนด์และงานฝีมือที่ไม่เหมือนใครและมีเอกลักษณ์แล้ว เรื่องสำคัญเลยก็คือ Demand หรือความต้องการที่มากขณะที่ Supply มีน้อย!
อิทธิพลจากคนดังคนระดับสูง
เหตุผลที่ Demand สูงก็เพราะหลากหลายปัจจัยแต่ ที่มีผลมากที่สุดก็คือ “อิทธิพลจากคนดัง” ที่ซื้อของแบรนด์ไปใช้และพลังของ “การบอกต่อแบบปากต่อปาก” ในกลุ่มคนที่ “เล่น” เครื่องประดับแบรนด์เหล่านี้
สิ่งนี้สะท้อนผ่านกลยุทธ์หลายๆอย่างในอดีตตั้งแต่ยุคของคุณรอล์ฟ บริหารอยู่เช่น LAdV เคยร่วมกับเจ้าหญิงลูเซียนา ปินาเตลลี เจ้าหญิงแห่งอิตาลี ปล่อยเครื่องประดับคอลเลคชั่นพิเศษออกมา

นอกจากนี้คุณรอล์ฟ ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นสูงในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น มหารานี คยาตรี เทวี อดีตมหารานีแห่งเมืองชัยปุระ ประเทศอินเดีย แฟชั่นไอค่อนระดับตำนานของอินเดีย ที่ครั้งหนึ่งนิตยสารชื่อดังของตะวันตกอย่าง Vouge ยกย่องให้พระองค์ เป็น 1 ใน 10 ของหญิงที่งดงามที่สุดของโลก
รวมถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับ เจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์ ที่เคยเสด็จมาร่วมชมแฟชั่นโชว์เป็นการส่วนพระองค์ ในงานคอลเลกชั่นพิเศษของ LAdV ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพระนิพนธ์ของพระองค์ด้วย
ในขณะที่คนดังอย่าง Gianni Versace ดีไซเนอร์แฟชั่นชื่อดังระดับโลก เป็นอีกคนที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์งานศิลป์ของ LAdV จนต้องมีไว้ครอบครอง

รวมไปถึงไมเคิล แจ๊คสัน ราคาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ และอลิซาเบธ เทย์เลอร์ อย่างที่เล่าไป
คุณรอล์ฟ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เรามีลูกค้าทั่วทุกมุมโลก ส่วนใหญ่เป็นราชวงศ์, บุคคลชั้นสูง และนักสะสมนานาชาติ ที่ชอบศิลปะชั้นสูงมีเอกลักษณ์”
พลังของ Word of Mouth
นอกจากพลังของคนดัง คนระดับสูงที่เข้ามาเชื่อมโยงกับแบรนด์มาอย่างยาวนานแล้ว LAdV ยังเชื่อในพลังของการตลาดแบบปากต่อปากด้วยเช่นกัน
คุณนิกกี้ CEO ของ LAdV เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า แบรนด์ให้ความสำคัญกับการพูดคุยกับลูกค้าและโปรโมทแบรนด์ด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือความเชื่อในพลังของการ “บอกกันปากต่อปาก” เพราะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์จะช่วยบอกต่อ และสิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างการเติบโตให้แบรนด์

ด้วยพลังของคนดังรวมถึงพลังของการบอกปากต่อปาก ทำให้ Demand สูงขึ้น และเมื่อ Demand สูงในขณะที่ของหายาก ก็ทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดไปจนถึงหลักล้านหรือหลายสิบล้านได้
ในตลาดสินทรัพย์แบบนี้ “ใบเซอร์” และ “ใบเสร็จ” จากการซื้อสินค้าที่ใช้ยืนยันว่าเป็นของแท้จากแบรนด์ก็กลายเป็นอีกสิ่งสำคัญ เพราะแม้สินค้าจะเป็นของแท้แต่ถ้าไม่มี “ใบเซอร์และใบเสร็จ” ราคาก็อาจร่วงจากหลักหลายสิบล้านลงมาเหลือหลักแสนก็เป็นได้
Lotus Arts de Vivre ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน คุณนิกกี้ ประธานกรรมการบริหาร หรือ CEO แห่ง Lotus Arts de Vivre เป็นผู้บริหารแบรนด์และกำลังทำให้แบรนด์ขยายตลาดในระดับโลกให้กว้างขึ้นได้โดย
ในปัจจุบันนอกจากในประเทศไทยที่มีสาขากระจายตัวอยู่ในโรงแรมหรูทั่วประเทศแล้ว LAdV ยังมีสาขาในมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน อินเดีย ตุรกี รัสเซีย สหรัฐอเมริกา มัลดีฟส์ รวมถึงเซนต์บาร์ต เกาะมหาเศรษฐีในทะเลแคริบเบียนด้วย

ปัจจุบันคุณรอล์ฟ เริ่มวางมือการธุรกิจลงแล้วเปิดทางให้คุณศรี และคุณนิกกี้บริหารงาน และเริ่มดึงเอาทายาทรุ่นที่ 3 อย่างคุณ “จักรินทร์” และคุณ “พายุ” ลูกชายสองคนของคุณศรี เข้ามาช่วยสร้างความสดใหม่ให้กับแบรนด์ด้วย
โดยเฉพาะ “คุณพายุ” ที่จบด้านภาพยนตร์และสื่อดิจิทัลจากอังกฤษ ก็มาทำกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ๆในโลกออนไลน์ ส่วนคุณจักรินทร์ ก็จะเข้ามาช่วยเรื่องสร้างสรรค์แคมเปญและแค็ตตาล็อกผลิตภัณฑ์
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของแบรนด์ Lotus Arts de Vivre อย่างย่อๆ เรื่องราวที่ทำให้เราเข้าใจตลาดของ Branded Jewelry ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับแต่เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน และทำให้เรารู้จัก LAdV มากขึ้นกว่าเดิมในฐานะแบรนด์ที่เป็นภาพสะท้อนของความหรูหราได้จริงๆ
“ความหรูหราที่แท้จริงนั้นอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ปรารถนาในสิ่งที่ดูเหมือนเกินกว่าจะไขว่คว้าได้“ คุณนิกกี้ระบุ