ทุกวันนี้ “อีคอมเมิร์ซ” (E-Commerce) เป็นช่องทางการซื้อขายหลักในประเทศไทย ทำให้มีพลวัตการแข่งขันสูง ทั้งจากแพลตฟอร์ม E-Marketplace, Social Commerce, Chat Commerce, E-tailers หรือ Brand.com อีกทั้งต่างช่วงชิงยอดขาย และฐานลูกค้าด้วยกลยุทธ์ “Affiliate Marketing” ผ่านการจับมือ Influencers
ในงาน DAAT DAY 2024 ได้พาไปอัปเดตเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ประเทศไทย ปี 2025 ในหัวข้อ Unlocking E-Commerce Growth Trends and Strategic Opportunities for 2025 โดย คุณไว ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา CEO & Co-Founder of Priceza and Etailligence และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย สรุปเป็น 10 เทรนด์ที่น่าสนใจดังนี้
1. มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ ประเทศไทย ปี 2024 แตะ 1.1 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2027 เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านล้านบาท
ปี 2023: มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทย 980,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ใน 6 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย, ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์)
ปี 2024: คาดการณ์มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทย เป็นปีแรกที่แตะระดับ 1.1 ล้านล้านบาท
ปี 2027: คาดการณ์มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทย เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านล้านบาท
2. ปัจจัยขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคไทยหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น
ปี 2022-2023
1. โค้ดส่งฟรี
2. คูปองและส่วนลด
3. ตัวเลือกจ่ายแบบ COD (ประเทศไทยมีการออกกฎหมายว่าเมื่อผู้บริโภคสั่งของและชำระเงินปลายทางเมื่อได้รับสินค้า (COD) ผู้บริโภคสามารถเปิดสินค้าดูได้ก่อน ถ้าไม่ตรงปก หรือมีสภาพแตกหัก สามารถส่งคืนได้ทันที
4. รีวิวจากลูกค้า
5. Like & Comment บนโซเชียลมีเดีย
6. คืนสินค้าได้ง่าย
ปี 2024
1. คูปองและส่วนลด
2. ส่งฟรี
3. ตัวเลือกจ่าย COD
4. คืนสินค้าได้ง่าย
5. รีวิวจากลูกค้า
6. ไลค์ และคอมเมินต์บนโซเชียลมีเดีย
ดังนั้น Value is the new of the game หรือความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ จะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ
3. E-commerce Landscape แตกกระจายหลายช่องทางการขาย และการทำการตลาด
ผลสำรวจพฤติกรรมการช้อปออนไลน์ของผู้บริโภคไทย ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาของปี 2024 พบว่าช่องทางที่นักช้อปไทยนิยมช้อปมากสุด ประกอบด้วย
1. Shopee 75%
2. LAZADA 67%
3. TikTok 51%
4. Facebook 39%
5. LINE 24%
6. YouTube 18%
7. Instagram 16%
8. X 9%
9. Amazon 9%
10. Central Online 9%
ขณะที่ปี 2025 E-commerce Landscape แตกกระจายหลากหลายช่องทางการขาย และการทำการตลาด
แบรนด์อยากขายของไปยังผู้บริโภค ไปสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซในไทย แบ่งเป็น 5 ช่องทางหลัก
1. Marketplace: shopee, LAZADA, TikTok, NocNoc
2. E-tailers: Central, Konvy, PowerBuy, HomePro, Banana
3. Chat Commerce: LINE, FB messenger, LINE, IG
4. Own Shop ผ่านช่องทางของตัวเอง แบรนด์ของตัวเอง
5. Quick Commerce: Grab, LINE MAN, Lotus’s, 7-11, Tops
ในส่วนช่องทางการทำการตลาด แบ่งเป็น
– Search เช่น Google
– IM (Chat) เช่น LINE, Facebook Messenger
– VDO & Entertainment เช่น YouTube, TikTok, Viu
– Social media: facebook, Instagram, X, Lemon8, Pinterest
– Media Portal: เว็บสื่อต่างๆ
นอกจากนี้ปี 2024 – 2025 เป็นปีแห่ง Affiliates และ Influencers อีกทั้งการทำอีคอมเมิร์ซยุคนี้ ต้องเอา Insight การตลาดและคู่แข่งเข้ามาใช้ เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการช้อป และการขายได้ดีขึ้น
4. Top 3 สินค้าขายดีบน 3 มาร์เก็ตเพลส
สำหรับสินค้าขายดีบน 3 แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ประกอบด้วย
– Shopee: แฟชั่น, สินค้า Home & Living, สินค้าสุขภาพและความงาม
– LAZADA: เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าเด็กและของเล่น, สินค้า Home & Living
– TikTok: (ปัจจุบัน TikTok ไม่ใด้เป็น Social Commerce แล้ว แต่ถือเป็น E-marketplace): สินค้าความงาม สุขภาพ สินค้า personal care, อาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่นผู้หญิง
5. ใช้เครื่องมือ E-Commerce Listening เพื่อวางแผนสร้าง Winning Product
ปัจจุบันมีการใช้เครื่องมือ E-Commerce Listening มากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจและรู้ว่าสินค้าหมวดหมู่ไหนที่คู่แข่งขายดี เทรนด์เป็นอย่างไร โอกาสทางการตลาดเป็นอย่างไร
6. Temu สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดโมเดล “ฝากขาย” สินค้าจากโรงงาน
ปี 2024 “Temu” เปิดตัวสู่ตลาดประเทศไทย เป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดอีคอมเมิร์ซ ด้วยการเอาโมเดลฝากขาย หรือ Consignment Model นั่นคือ ดีลตรงกับโรงงานผู้ผลิตในจีน เพื่อเอาสินค้าจำนวนมหาศาล มาขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งคนละรูปแบบกับโมเดล Shopee, LAZADA, TikTok ที่เป็นโมเดลมาร์เก็ตเพลส ให้ร้านเปิดขายบนแพลตฟอร์ม
ทำให้ฝั่ง Shopee, LAZADA ตอบโต้ทันที ด้วยการเปิดโมเดลฝากขาย ดีลกับโรงงานโดยตรงเช่นกัน อย่าง LAZADA Choice, Shopee Choice
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Unbranded หรือสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ ขายในราคาถูก เข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมากขึ้น ดังนั้น
การมาของ Temu ส่งผลให้ผู้นำมาร์เก็ตเพลสในไทยสวนหมัดกลับไป เอาสินค้า Consignment เข้ามาตอบโต้ ส่งผลให้สินค้าจีนเข้ามาตลาดไทยจำนวนมาก
7. ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ร้านค้าที่เปิดช้อปบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแพลตฟอร์ม (ไม่รวมค่าการตลาด ค่าโฆษณา)ไม่ว่าจะเป็น Shopee, LAZADA, TikTok พบว่าแนวโน้มมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เช่น ตลาดอีคอมเมิร์ซในมาเลเซีย ค่าธรรมเนียมแตะระดับ 20% ดังนั้นถ้าแบรนด์ขายสินค้า 100 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแพลตฟอร์มไปแล้ว 20 บาท
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผลักดันให้ Online Retail เริ่มให้ความสำคัญกับ “ช่องทางการขายของตัวเอง” มากขึ้น เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น เปิด All Online Affiliate รวมถึงเชนซูเปอร์มาร์เก็ต – ไฮเปอร์มาร์เก็ต โฟกัสการพัฒนาช่องทางการขายของตัวเอง ดังนั้นภาพที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 กลุ่ม Retail ที่มีทั้งแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ของตัวเอง จะมุ่งผลักดัน Traffic เข้าสู่ช่องทางของตัวเอง
8. ปี 2024 – 2025 ปีแห่ง Affiliate Marketing เมื่อ Content & Commerce หลอมรวมเป็นอันเดียวกัน
โมเดล Affiliate Marketing แบรนด์ ทำงานร่วมกับ Influencer มาแรงทั้งในปีนี้ และปี 2025 เพื่อสร้างยอดขาย ซึ่งในอดีตรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ Influencer เน้นจ่ายเป็นค่าจ้างตายตัว (Flat Rate) แต่การเกิดขึ้นของ Affiliate Marketing ทำให้แบรนด์เน้นการจ่ายตามยอดขาย (Percentage of Sales)
เหตุผลที่ Affiliate Marketing เติบโต จากผลสำรวจพบว่า
– 83% ของผู้บริภคไทย เลือกซื้อสินค้าตาม Influencer แนะนำ โดยกลุ่มสินค้าความงามและแฟชั่นเป็นหมวดที่ Influencer มีอิทธิพลมากที่สุด
9. LIVE Commerce ปี 2025 จะแข่งกันเพิ่มชั่วโมงไลฟ์มากขึ้น
ทุกวันนี้คนไทยชอบดู LIVE Commerce ผ่านช่องทางหลักดังนี้
– TikTok 86%
– Shopee 57%
– Facebook 52%
– LAZADA 32%
– Instagram 23%
คาดว่าปี 2025 จะแข่งขันกันไลฟ์ชั่วโมงนานขึ้น อย่างประเทศจีน ปัจจุบันไลฟ์กันตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับตัววัดของแพลตฟอร์มจะวัดกันที่จำนวนชั่วโมงไลฟ์ด้วย ดังนั้นถ้าแบรนด์และแพลตฟอร์มเพิ่มชั่วโมงการไลฟ์ได้มาก จะส่งผลให้ Reach และ Traffic คนดูได้มากขึ้น
10. ปี 2025 ปีแห่งการได้รับสินค้า “ไวเป็นปีศาจ” – คาดตลาด Quick Commerce ไทยโตปีละ 20 -30%
การแข่งขันธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ได้แช่งที่ราคาอย่างเดียวแล้ว แต่แข่งกันที่ “ประสบการณ์ลูกค้า” ด้วยเช่นกัน โดยปี 2024 อีคอมเมิร์ซในไทยแข่งด้าน “การจัดส่งเร็ว” ทำให้ผู้บริโภคไทยปรับตัวสู่ New Normal คือ การสั่งสินค้าอีคอมเมิร์ซ แล้วได้ภายใน Next Day จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอีคอมเมิร์ซ
การแข่งขันจัดส่งเร็วดังกล่าว จะเห็นมากขึ้นในปี 2025 เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการได้รับสินค้า “ไวเป็นปีศาจ” และคาดว่าตลาด Quick Commerce ไทยโตปีละ 20 -30%