[บทความนี้เป็น Advertorial]
“ถ้าเธอเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า”
เนื้อหายอดฮิตเพลงดังกล่าวนั้นไม่ใช่สมมติฐานเล่นๆ เพราะเอาเข้าจริงอาจสะท้อนให้เห็นว่าคนยุคนี้มีความเหนื่อยล้ากันไม่น้อย
บ่อยครั้งที่คนเรารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าในหลากหลายแบบ เช่น กระตือรือร้นน้อยลง รู้สึกร่างกายหนักๆล้าๆ
บางที ถ้าหากเราหยุดพักสักนิด ปรับเปลี่ยนอารมณ์หรือบรรยากาศก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น ซึ่งนั่นคือเรื่องปกติ
แต่ในขณะที่บางคนอาจวนเวียนกลับไปอยู่ในวงจรความรู้สึกเดิมๆ ไม่หายจากอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย จนส่งผลเสียต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ส่งผลเสียต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นแสดงว่าสุขภาพเราอาจส่งสัญญาณอะไรบางอย่างแล้ว
สัญญาณของความเหนื่อยล้า
ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูว่า หากคุณมีการตอบสนองที่ช้าลงหรือมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ถดถอย สมาธิลดน้อยลงและเคลื่อนไหวช้าลง กระฉับกระเฉงน้อยลง
ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็สามารถบ่งบอกว่า ร่างกายคุณกำลังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ โดยเฉพาะหากเมื่อปล่อยให้เกิดอาการเหนื่อยล้าไปเรื่อยๆ ติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ อาการที่ว่าอาจลุกลามเป็นปัญหากับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาการตื่นนอนลำบาก ประสิทธิภาพการทำงานลดลงแม้จะไม่มีการออกกำลังหนักหรือดื่มหนัก เป็นต้น
ยิ่งคนยุคนี้ส่วนใหญ่ใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตตนเองอยู่ในที่ทำงาน และทุ่มเทให้กับเรื่องงานมากกว่าการคำนึงถึงสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะมนุษย์ออฟฟิศถือว่ากำลังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพด้านต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจจากกิจวัตรประจำวันที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัว
ชาวออฟฟิศส่วนใหญ่จะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมง หลังขดหลังแข็ง มือค้างอยู่แป้นพิมพ์นานๆ หรือมีกิจกรรมอื่นอยู่ในท่าเดิมซ้ำๆ นานๆ ไม่ว่าจะเป็น การยืน เดิน รวมทั้งคนที่ยกของหนักเป็นประจำหรือนั่งขับรถหลายๆ ชั่วโมง ยิ่งนานครั้งที่คุณสะสมพฤติกรรมดังกล่าว กำลังส่งเสริมให้ร่างกายเราใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก ผลที่ตามมาขั้นต้นคืออาการเจ็บป่วย หรือปวดเมื่อยร้าวตามหลัง ไหล่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของอาการ “ออฟฟิศซินโดรม”
แล้วทีนี้เราควรจะจัดการกับความเหนื่อยล้าอย่างไรดี?
รู้จักกลไกการสร้างพลังงานของร่างกาย
ว่ากันว่า สาเหตุหนึ่งของความเหนื่อยล้านั้น อาจเกิดจากหลายคนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาดวิตามินบี 1
จากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการแห่งชาติ (ประเทศญี่ปุ่น) มีรายงานว่าคนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนกลุ่มวิตามินบีไม่ว่าอายุหรือเพศใดก็ตาม โดยที่วิตามินบีมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ความเหนื่อยล้า” และเป็นสารอาหารรองที่สำคัญที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารหลักสามกลุ่ม (คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน) กลายเป็นพลังงาน
นอกจากนี้ มนุษย์เราเคลื่อนไหวร่างกายของเราและดำรงกิจกรรมในชีวิตโดยการแปลงสารอาหารหลัก 3 กลุ่ม (คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน) ให้เป็นพลังงานในร่างกาย ในขณะที่กลุ่มวิตามินบี (วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 กรด pantothenic และกรดนิโคตินิก) และวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ หากวิตามินเหล่านี้ไม่เพียงพอจะส่งผลให้การผลิตพลังงานมีประสิทธิภาพน้อยลง การได้รับสารอาหารให้สมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการรักษาสุขภาพ
ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายของเรา จำเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อขับเคลื่อนให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อของเราจะเป็นส่วนที่ใช้พลังงานเยอะที่สุดในร่างกาย เพราะต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพลังงานที่ว่าจะได้จากการย่อยสลายสารอาหารจนเกิดเป็นพลังงานในหน่วยย่อยที่เรียกว่า ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งในขบวนการย่อยสลายสารอาหารดังกล่าวจะต้องใช้วิตามินบี 1 เป็นตัวช่วยนั่นเอง
วิตามินบี 1 หรือ ไทอามีน (Thiamine) เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในน้ำ มีหน้าที่สำคัญในการการเผาผลาญพลังงาน โดยจะเปลี่ยนสารอาหารที่เรารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นแป้ง น้ำตาล ไขมัน โปรตีน ให้เป็นพลังงาน ATP ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ไปเติมเต็มตามส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาท ดังนั้น หากเราขาดวิตามินบี 1 จะส่งผลกระทบกับกระบวนการสร้างพลังงาน ATP
กล้ามเนื้อขาดพลังงาน ATP จะส่งผลให้เกิดการบกพร่องในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ จนเกิดเป็นอาการตึง ปวด เมื่อยกล้ามเนื้อได้ ยิ่งถ้าอยู่ในสภาวะเครียดด้วยแล้ว สมองและระบบประสาทยิ่งมีความจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้น ความต้องการวิตามินบี 1 ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปด้วย
จะเห็นได้ว่าวิตามินบี 1 มีความสำคัญกับร่างกายมาก แต่! วิตามินบี 1 โดยทั่วไปเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ที่สำคัญยังเป็นวิตามินที่ไม่คงทน และสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย จึงเกิดการวิจัยและพัฒนาเพื่อสังเคราะห์อนุพันธ์ตัวใหม่ของวิตามินบี 1 ให้มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และสามารถผ่านเข้าสู่กล้ามเนื้อและระบบประสาท ส่งผลให้อาการเมื่อยล้าอ่อนเพลียบรรเทาลงได้1
ดังนั้นเพื่อให้เรา “สุขภาพดี” เราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารอย่างสมดุลกับอาหาร
เคล็ดไม่ลับ ลดความเหนื่อยล้า
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การยืดกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพในการฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า การยืดกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตโดยการยืดกล้ามเนื้อที่หดตัวช้าๆส่งผลให้ออกซิเจนและสารอาหารส่งถึงทุกมุมของกล้ามเนื้อและเร่งการฟื้นตัวของความเมื่อยล้าถ้าคุณไม่ใช้กล้ามเนื้อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะลดลงและคุณจะรู้สึกเหนื่อยง่าย
การออกกำลังกายทำให้เรามีการนอนหลับที่ดี และยังมีผลต่อการบรรเทาความเครียดและอารมณ์ยังสดชื่น
วิตามินกับการออกกำลังกาย
อย่างไรก็ดี แม้การออกกำลังกายจะมีประโยชน์ แต่การออกกำลังกายที่มากเกินไปจะทำให้เกิดความเมื่อยล้าเช่นกัน เพราะมนุษย์เคลื่อนไหวร่างกายโดยการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต·โปรตีน·ไขมันที่กินเข้าไปจากอาหารเป็นพลังงาน ในเวลาเดียวกันก็มีการใช้วิตามินต่างๆร่วมด้วย เมื่อมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากการออกกำลังกาย ความต้องการวิตามินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งถ้าวิตามินไม่เพียงพอต่อวงจร TCA จะไม่ดี และส่งผลให้แปลงเป็นพลังงานไม่สามารถทำได้ดีและมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเมื่อยล้า
ดังนั้น นอกเหนือจากการออกกำลังกายที่พอเหมาะ บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การเสริมวิตามินก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าจะลดความเหนื่อยล้าได้เช่นกัน
ใครบ้างที่ควรรับประทานวิตามินบี 1
เนื่องจากวิตามินบี1มีหน้าที่หลักๆ ในการสร้างพลังงานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและระบบประสาท ดังนั้นคนที่ควรรับประทานวิตามินบี 1 ก็คือกลุ่มคนที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อและระบบประสาทมากนั่นเอง ซึ่งได้แก่คนทำงานที่ต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่ ทั้งบทบาทที่ทำงาน และชีวิตส่วนตัว และคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้
- ผู้ที่มีพฤติกรรมอยู่ในท่าเดิมๆ ซ้ำๆ นานๆ ต้องทำงานที่มีการนั่ง ยืน เดิน หรือค้างอยู่ในท่าเดิมนานๆ จะมีการใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก มีอาการปวดเมื่อยร้าวตามหลัง ไหล่ ได้ เช่น พนักงานออฟฟิศ คนที่ยกของหนักเป็นประจำหรือนั่งขับรถเป็นเวลานาน
- ผู้ที่ใช้สมองอย่างหนักและมีความเครียดสะสม เช่น คนวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษาช่วงใกล้สอบ
- ผู้ที่มาอาการอ่อนเพลีย นอนน้อย ทำงานหนัก นอนดึก
- ผู้ที่มีอาการชา ตามปลายมือปลายเท้า เช่นคนที่ใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดเยอะ คนสูงอายุ คนเป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีพฤติกรรมที่ใช้สายตาเยอะ เช่น นั่งจ้องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
- ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น นักกีฬา เนื่องจากมีการใช้พลังงานกล้ามเนื้อเยอะ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากในช่วงดังกล่าวนี้เป็นสภาวะที่ร่างกายของแม่ต้องการใช้พลังงานสูงมาก จึงมีความต้องการมากขึ้นด้วย ดังนั้นหากรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เท่าเดิมก็จะมีโอกาสเกิดการขาดวิตามินบี 1 ได้ (ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยา)
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีโอกาสขาดวิตามินบี 1 เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี 1 ที่บริเวณลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำมักรับประทานอาหารโดยภาพรวมลดลง ทำให้ได้รับวิตามินบี 1 จากอาหารน้อยลงตามไปด้วย
- ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีสารต้านไทอามีน (anti-thiamine factors) เป็นสารที่สามารถทำลายวิตามินบี 1 ได้โดยตรง ตัวอย่างอาหารที่มีสารต้านไทอามีนอยู่มาก ได้แก่ ปลาดิบ หอยดิบ หมาก และอาหารที่ผ่านการหมักแล้วมีการเจือปนของ mycotoxin ต่างๆ (mycotoxin คือสารพิษจากเชื้อรา)
- ผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น ไม่รับประทานผัก หรือทานแต่มังสวิรัติหรือเจ ก็จะพลาดโอกาสได้รับวิตามินบี 1 ที่พบเฉพาะในเนื้อสัตว์เท่านั้น
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินบี 1 ได้ที่ www.วิตามินบี.net
ข้อมูลอ้างอิง
- Clinical effects of VB-11 tablets on asthenopia, stiffness in shoulders, lumbago, etc. ตีพิมพ์ใน Sinryo to Shinyaku (Medical Consultation & New Remedies) (Vol 33, No. 1) Separate Volume Issued on January 28, 1996 (January issue)
- Evaluation of Thiamin Derivatives: Human Bioavailability, Uptaked by Human Blood Cells, and Conversion to Thiamin by Rat Liver Homogenate
[บทความนี้เป็น Advertorial]