เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคนเชื้อชาติไหน เป็นต้องสะดุดใจเมื่อได้ยินคำว่า “ฟรี” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า 100% ของคนที่ได้ยินคำว่า “ฟรี” หรือเห็นป้าย “แจกฟรี” ปรากฏอยู่ตามร้านค้า เป็นต้องต้องมนต์สะกดทุกคนไป สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการตัดสินใจอย่างไร หลังจากได้ยิน หรือได้เห็นคำว่า “ฟรี” แล้วต่างหาก…
บ้างก็ว่า “ของฟรีไม่มีในโลก” หรือ “ของฟรีและดี มีซะที่ไหน” ถ้าจะให้เรียกแบบติดตลก คนประเภทนี้ก็จัดอยู่ในพวก “ใจแข็ง” คือเชื่อว่าตัวเอง “รู้เท่าทัน” ไปซะหมด เลยไม่ยอมพาตัวพาใจให้ตกเป็นเหยื่อการตลาดได้ง่ายๆ (ว่าไปซะนั่น) หรืออาจสรุปสั้นๆ ได้ว่าคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรม “ปฏิเสธ” และ “ต่อต้าน” ของฟรี นั่นเอง
หรือบ้างก็ว่า “ดีไม่ดี ให้ฟรีก็เอา!” คนกลุ่มนี้แม้ฟังดูจะมีอคติกับของฟรีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปิดกั้นตนเอง กับการยอมรับแจกของฟรีเหล่านั้นเสียเมื่อไหร่ คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในประเภทที่ว่า ให้ฟรีก็เอาไว้ก่อน ส่วนของที่ได้มานั้นจะเป็นของดีหรือไม่ดีนั้นเป็นอีกเรื่องนึง ลองใช้ดูก่อนก็ไม่เสียหาย ใช้ไม่ได้ก็โยนทิ้งไป ซึ่งพฤติกรรมในรูปแบบที่ว่า “ไม่อยากได้…แต่เสียดายจัง” นี้พบว่ามีอยู่ไม่ใช่น้อยทีเดียว
กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่เน้นคุณภาพต้องมาก่อน ซึ่งพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ ต่อให้เป็นของฟรี แต่ก็ใช่ว่าจะเปิดใจยอมรับง่ายๆ พวกเขาต้องพึ่ง “รีวิว” หรือเสียงส่วนใหญ่จากกลุ่มคนที่เคยได้ทดลองใช้ก่อนเพื่อมายืนยันการตัดสินใจ ซึ่งถ้าหากสินค้าหรือบริการเหล่านั้นมีผลตอบรับโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถึงจะยอมรับของฟรีๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ ซึ่งจากผลการสำรวจโดย Freebie Poll เป็นที่น่าประหลาดใจไม่ใช่น้อย ที่พบว่าพฤติกรรมรูปแบบนี้พบอยู่ในคนไทยเป็นจำนวนมาก
สิ่งนี้กำลังบอกอะไรกับเรา ?
พฤติกรรมตอบสนองที่ผู้บริโภคมีต่อคำว่า “ฟรี” นั้น ย่อมส่งผลถึงการกำหนดทิศทางทางการตลาดของสินค้าและบริการต่างๆ ที่ต้องตอบโจทยผู้บริโภคให้ได้เสียก่อน ที่จะปล่อยคำว่า “ฟรี” ออกมา เพราะจากผลการสำรวจได้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับคุณภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าราคา หรืออาจจะให้ความสำคัญมากกว่าเสียด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่า พฤติกรรมการตอบสนองต่อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภค ขึ้นอยู่กับความ “สมเหตุสมผล” ของสินค้าหรือบริการนั้นๆ นั่นเอง และไม่ใช่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในระดับที่สูงอีกต่อไป หากแต่พบว่ามีการกระจายตัวอยู่ในกลุ่มรายได้ที่แตกต่างกันอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะพบเห็นผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ยอมที่จะจ่ายแพงกว่า เพื่อของที่ดีกว่า ทนทานกว่า แต่ก็อย่างเพิ่งถอดใจไป เพราะนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้บริโภคจะเพิกเฉยกับ ของฟรี หรือของลดราคา ไปเสียทีเดียว พฤติกรรมเฮรับของฟรีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งของคนไทย จึงไม่อาจหมดไปง่ายๆ หากเพียงแต่นักการตลาดต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาความน่าสนใจ ในตัวสินค้าหรือบริการนั้นๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ที่เริ่มให้ความสำคัญกับ “เหตุผล” เทียบเท่ากับ “อารมณ์” ในการเลือกซื้อสินค้านั้นๆ เอาไว้ด้วย นั่นย่อมหมายถึงการใส่ใจใน “ คุณภาพ” ของสินค้า และบริการนั้นๆ ที่แม้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อ “แจกฟรี” ก็ตาม ซึ่งผู้ประกอบการจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่า การค้นพบว่าความจริงในข้อนี้ ย่อมไม่ใช่โจทย์ที่ง่ายสำหรับนักการตลาด แต่ Freebie ในฐานะของผู้สำรวจพฤติกรรมดังกล่าวนี้กลับมองว่า นี่ไม่ใช่โจทย์ที่ยากจนเกินไป หากแต่เป็นโจทย์ที่ท้าทายศักยภาพของนักการตลาดอยู่ไม่ใช่น้อย และคงถึงเวลาที่เหล่านักการตลาดทั้งคลื่นลูกเก่าลูกใหม่ จะได้เปิดศึกกลยุทธ์โปรโมชั่นของฟรีกันเสียที
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริการและสมาร์ทโฟน app Freebie ที่ www.freebie.co.th