Bloomberg รายงานว่า ครอบครัวมหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียกำลังจับตามองการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลก เมื่อโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ กลับสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง พร้อมแนวทางบริหารประเทศที่คาดเดาไม่ได้และนโยบายการค้าที่อาจเขย่าตลาดทั่วโลก
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังรับตำแหน่ง ทรัมป์เดินเกมหนักด้วยการประกาศนโยบายภาษีการค้ารอบใหม่ ขึ้นภาษีสินค้าจีน และใช้มาตรการกดดันประเทศคู่ค้าสำคัญ นำไปสู่ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก และทำให้บรรดาตระกูลมหาเศรษฐีของเอเชียต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
หนึ่งในตระกูลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เจียรวนนท์ ซึ่งครองตำแหน่ง อันดับ 2 ในรายชื่อมหาเศรษฐีแห่งเอเชียปี 2025 ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งกว่า 42.6 พันล้านดอลลาร์ จากอาณาจักรธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก
ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น นักวิเคราะห์เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจของตระกูลเจียรวนนท์ อาจได้รับประโยชน์จากกระแส “China Plus One” ซึ่งเป็นแนวโน้มที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากตะวันตกมองหาแหล่งการผลิตสำรองนอกจีน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาษีและข้อพิพาททางการค้า
Maybank Securities ชี้ว่าหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับผลบวกคือภาคการผลิตอาหารและเกษตรของ CP Group ซึ่งมีฐานการผลิตแข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น
ไม่ใช่เพียง CP Group เท่านั้นที่ต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มูเกซ อัมบานี แห่ง Reliance Industries ซึ่งครองอันดับ 1 ด้วยทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์ ก็กำลังวางหมากทางธุรกิจในอินเดีย โดยอาศัยสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างทรัมป์และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งอาจช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทอินเดียเข้าถึงตลาดสหรัฐได้ง่ายขึ้น
ในอีกฟากหนึ่งของเอเชีย ครอบครัวจาง เจ้าของ China Hongqiao Group และ ตระกูลลี แห่ง Samsung Electronics อาจเป็นผู้เสียเปรียบจากภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทจีนและเกาหลีใต้โดยตรง
แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เหล่ามหาเศรษฐียังคงหาทางปรับตัว นักวิเคราะห์มองว่าการเข้าใจแนวคิดของทรัมป์จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการวางกลยุทธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในเอเชีย
20 อันดับตระกูลเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ปี 2025 โดย Bloomberg
- อัมบานี (Reliance Industries) – 90.5 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- เจียรวนนท์ (Charoen Pokphand Group) – 42.6 พันล้านดอลลาร์ (ไทย)
- ฮาร์โตโน (Djarum, Bank Central Asia) – 42.2 พันล้านดอลลาร์ (อินโดนีเซีย)
- มิสทรี (Shapoorji Pallonji Group) – 37.5 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- กว๊อก (Sun Hung Kai Properties) – 35.6 พันล้านดอลลาร์ (ฮ่องกง)
- ไช่ (Cathay Financial, Fubon Financial) – 30.9 พันล้านดอลลาร์ (ไต้หวัน)
- จินดาล (OP Jindal Group) – 28.1 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- อยู่วิทยา (TCP Group) – 25.7 พันล้านดอลลาร์ (ไทย)
- เบอร์ล่า (Aditya Birla Group) – 23.0 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- ลี (Samsung) – 22.7 พันล้านดอลลาร์ (เกาหลีใต้)
- จาง (China Hongqiao, Shandong Weiqiao Textile) – 21.9 พันล้านดอลลาร์ (จีน)
- เฉิง (New World Development, Chow Tai Fook) – 21.8 พันล้านดอลลาร์ (ฮ่องกง)
- บาจาจ (Bajaj Group) – 20.1 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- เปา/วู (BW Group, Wheelock) – 19.6 พันล้านดอลลาร์ (ฮ่องกง)
- กเว็ก/เกว็ก (Hong Leong Group) – 17.9 พันล้านดอลลาร์ (สิงคโปร์/มาเลเซีย)
- คาโดรี (CLP Holdings) – 17.1 พันล้านดอลลาร์ (ฮ่องกง)
- จิราธิวัฒน์ (Central Group) – 15.7 พันล้านดอลลาร์ (ไทย)
- ฮินดูจา (Hinduja Group) – 15.2 พันล้านดอลลาร์ (อินเดีย)
- ซี (SM Investments) – 15.1 พันล้านดอลลาร์ (ฟิลิปปินส์)
- ลี (Lee Kum Kee) – 15.0 พันล้านดอลลาร์ (ฮ่องกง)
ที่มา: Bloomberg