มองไปทางไหนก็เห็นแต่เรื่อง ‘AI’
จนกลายเป็นเทรนด์ใหญ่มาแรงที่ประเด็นให้พูดถึงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศเองจึงกำลังนำ AI เข้ามาเติมเต็มในส่วนต่างๆ เพื่อยกระดับศักยภาพทั้งด้านการเติบโต และการแข่งขัน แล้วในบริบทของประเทศไทยที่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ส่งผลให้แรงงานในตลาดลดน้อยลงเรื่อยๆ AI คือคำตอบสุดท้ายที่ไทยกำลังรอให้เข้ามาเติมเต็มหรือเปล่า?
‘2A 2I’ ผลกระทบเชิงบวกของ AI ต่อประเทศ
ในงาน ‘The Power of AI เกมใหม่ โลกเปลี่ยน’ ที่จัดโดยประชาชาติ ในหัวข้อ ‘เสวนาพิเศษ The Power of Al’ โดย ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ Thailand Future (สถาบันอนาคตไทยศึกษา) และคุณปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด
ทำให้เราได้เห็นว่า การนำ AI เข้ามายกระดับการทำงานในระดับประเทศ มีศักยภาพมากพอที่จะดัน GDP ของไทยขึ้นไปถึงปีละ 0.7-0.8% เลยทีเดียว โดยส่งผลต่อการยกระดับด้าน Productivity ทั้ง 4 ด้าน ที่เรียกกันว่า ‘2A 2I’
Automation: เปลี่ยนระบบการทำงานบางอย่างให้เป็นอัตโนมัติ และให้ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้คน
Augmented: ทำให้สิ่งที่มนุษย์ทำได้อยู่แล้วดีขึ้นไปอีก เช่น หมอใช้ AI ช่วยดูผลเอกซ์เรย์
Inclusion: ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี หรือโอกาสต่างๆ ได้
Innovation: ด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว และการประมวลผลเชิงวิเคราะห์ และสังเคราะห์ อาจจะทำให้เกิดไอเดียในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
ผลสำรวจชี้ ความพร้อมของไทยต่อ AI สูง แต่โตช้ากว่าค่าเฉลี่ยโลก
ความตอนหนึ่งจาก บรรยายพิเศษ ‘Next chapter ธุรกิจไทย ยุค Al’ โดยคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ที่ได้นำการศึกษาจาก IMF มา และพบว่ากว่า 40% ของธุรกิจในยุคนี้ได้รับผลกระทบจากความก้าวหน้าของ AI และไทยเราเองมีความพร้อมต่อ AI เป็นอันดับที่ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่อัตราการลงทุนใน AI นั้นยังช้ากว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 10% ตามข้อมูลของ Saleforce
สาเหตุเป็นเพราะ ในตอนนี้ไทยมีช่องว่างระหว่างคนที่พร้อมมากๆ ใช้ AI ได้คล่อง กับคนที่ไม่พร้อมเลย และยังกลัวอยู่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งในแวดวงธุรกิจเองก็พบว่ามีช่องว่างตรงนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน โดยเราสามารถแบ่งมุมมองของธุรกิจต่อ AI ได้ 3 ประเภท
1. องค์กรที่นำ AI เข้ามาแทนที่คนในงานบางอย่าง เพื่อนำทรัพยากรบุคคลไปทำงานอื่นที่ส่งผลต่อการเติบโตมากกว่า
2. องค์กรที่นำ AI เข้ามายกระดับคนในงานเดิมๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และรวดเร็วขึ้น
3. องค์กรที่ไม่มีความเคลื่อนไหว หรือแผนการใดๆ ต่อ AI เลย ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในข้อนี้
เพราะในวันนี้ที่ AI กลายเป็นเรื่องที่ผ่านเข้าหูเราทุกวัน เชื่อว่าทุกคนเห็นความสำคัญ และโอกาสจาก AI แล้ว แต่ธุรกิจไทยก็ยังไม่สามารถคว้าโอกาสไว้อย่างจริงจัง เพราะ 3 สาเหตุสำคัญ
1. ความเข้าใจเรื่อง AI ยังน้อย
เพราะสาเหตุที่ AI กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากแบบทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะ Generative AI และความสามารถสุดว้าวของมัน แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ Gen AI นั้นเป็นหนึ่งในรูปแบบหนึ่งของ AI เท่านั้น โดย AI ยังมีหลากหลายรูปแบบ เช่น แชตบอท ระบบแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงระบบประมวลผลเบื้องหลัง ซึ่งการหยิบยกมาใช้ให้เหมาะกับธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องคิดและวางแผน
2. การจัดเก็บ และบริหาร ‘Data’ ไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร
Digitalization นับเป็น Movement ที่เกิดขึ้นในไทยมากว่า 10 ปีแล้ว แต่การจัดการบริหารข้อมูล ไปจนถึงการจัดเก็บ และค้นคว้ายังเรียกได้ว่าไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ซึ่งส่งผลต่อการปรับใช้ AI อย่างมาก เพราะการที่ AI จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ต้องใช้ข้อมูลให้ AI เรียนรู้ และวิเคราะห์ออกมาเป็นผลลัพธ์
จริงๆ แล้วการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์มากที่สุด คือการแชร์ข้อมูลกัน เพื่อใช้ในการต่อยอดพัฒนาส่วนต่างๆ แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะด้วยโครงสร้างการบริหาร หรือโมเดลธุรกิจ ข้อมูลมักถูกทำให้เป็นความลับ กว่าจะเข้าถึงข้อมูลได้ต้องใช้เวลาทำเรื่องขอ ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสดีๆ ไป คนที่ควรผลักดันเรื่องการใช้ข้อมูลในองค์กรมากที่สุดจึงควรเป็นตัว CEO เองที่มีอำนาจมากที่สุด
ด้วยสาเหตุหลักทั้ง 2 ข้อนี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจจำนวนไม่น้อยในไทย ยังอยู่ในจุดที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ กับ AI เลย เพราะไม่มีการเตรียมรากฐานเพื่อรองรับ AI ที่มีประสิทธิภาพ การนำมาปรับใช้จริงจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก
โดยมุมมองของธุรกิจในไทยยังเป็นการ ‘จ้างคนเพิ่ม’ เพื่อให้พอกับงาน โดยไม่คิดเรื่องการลด หรือหาตัวช่วยจัดการงานให้พอกับคน นอกจากนี้ธุรกิจไทยมักโฟกัสที่การ ‘ลดต้นทุน’ เพื่อเพิ่มผลกำไร แต่จริงๆ แล้วการลงทุนบางอย่าง ก็สามารถเพิ่มผลกำไรในระยะยาวได้เช่นกัน
AI อาจไม่ใช่คำตอบของทุกคำถาม แต่เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า AI นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็เหมาะกับ Pain Point ที่แตกต่างกัน และ Generative AI ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกรูปแบบธุรกิจ แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มต้นทำความรู้จักกับ AI
สิ่งสำคัญคือ ด้วยความสามารถมากมายของ AI ทำให้เราสามารถเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ อย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อนได้ การแข่งขันยุคนี้จึงไม่ใช่เรื่องของ คนเก่ง กับ คนไม่เก่งอีกแล้ว แต่เป็น คนที่ใช้ AI เป็น กับ ใช้ไม่เป็น และเมื่อเรามีเครื่องมือตัวเดียวกันอยู่ในมือ เราจะใช้เครื่องมือนั้นอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่า เพื่อสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า และขึ้นเป็นผู้ชนะในการแข่งขันยุคนี้