[ข่าวประชาสัมพันธ์]
หัวใจที่แข็งแรงเป็นประตูสู่การมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease: CVD) ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกให้มีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี สหพันธ์หัวใจโลกจึงกำหนดให้วันที่ 29 กันยายนของทุกปี เป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) และสำหรับธีมรณรงค์ในปี 2566 นี้ คือ “Use heart, know heart is open-ended” [1]
ด้วยจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และในทุกปีพบว่าผู้คนหลายล้านคนเสียชีวิตด้วยสาเหตุมาจากโรคหัวใจ ทำให้โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) กลายเป็นประเด็นที่น่ากังวล จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก[2] และในเอเชียพบจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้มากที่สุด โดยสูงถึง 58%ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากทั่วโลก หรือเป็นจำนวน 10.8 ล้านคน[3]
ขณะที่ประเทศไทย พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉลี่ยชั่วโมงละ 7 คน หรือ 58,681 คนต่อปี และอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข)
ตามรายงาน “Heart Failure Unseen: Unmasking the gaps and escalating crisis in Asia Pacific” ของ “โรช” (Roche) ระบุว่า ในเวลาไม่ถึงสามทศวรรษ ระหว่างปี 2533-2562 การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นถึง 12% หรือเท่ากับ 5.2 ล้านคน[4] เนื่องจากจำนวนของประชากรที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมือง การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย รวมถึงแนวโน้มการเป็นโรคอ้วนและโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้มีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึงภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)[5] ทั้งนี้
ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นสาเหตุหลักทางระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีอัตราเสียชีวิตสูง (เกินกว่า 50% ในระยะเวลา 5 ปี)[6]
ปัจจัยเสี่ยงและอาการโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมที่สำคัญที่สุดของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นประจำ[7] เมื่อโรคหัวใจมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมลง อาจนำไปสู่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น ดังนั้น การตรวจพบโรคและได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ด้วยการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้โรคหัวใจได้มีโอกาสทำลายสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
ปัญหาใหญ่ของแพทย์ – การตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว
จากรายงาน Heart Failure Unseen: Unmasking the gaps and escalating crisis in Asia Pacific ได้ทำการศึกษาความไม่เพียงพอของมาตรฐานการดูแลรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวในเอเชียแปซิฟิกในปัจจุบัน โดยพบว่า ปัญหาใหญ่ที่แพทย์ต้องเผชิญเมื่อวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว คือการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากอาการเป็นหลัก อาจเนื่องมาจากการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการวินิจฉัย และการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biological marker หรือ biomarker) ที่จำกัด
การวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลวโดยพิจารณาจากอาการเพียงอย่างเดียวคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวน 16.1% ได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาดจากโรงพยาบาล[8] เนื่องจากอาการที่แสดงออกของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น หายใจลำบาก คลื่นไส้ อ่อนเพลีย มีความคล้ายคลึงกับอาการป่วยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง
ประโยชน์ของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ หรือ Biomarker ที่มีต่อการวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว
การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยที่ดีขึ้น และการยกระดับการเฝ้าระวังโรคที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ หรือ biomarker ต่าง ๆ ของระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiacbiomarker) อย่างเช่น NT-proBNP สามารถมอบภาพรวมที่เป็นประโยชน์กับงานวินิจฉัยและการบริหารจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งการได้เห็นภาพรวมในเรื่องสุขภาพ ร่วมกับการมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถเลือกรูปแบบการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวได้เป็นอย่างดี และเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย นอกเหนือจากแนวปฏิบัติทางคลินิกระดับสากลที่
แนะนำให้ใช้ NT-proBNP เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยแล้ว การศึกษาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังแสดงหลักฐานที่สะท้อนคำแนะนำเหล่านี้อีกด้วย[9]
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลวถือเป็นภาระอันหนักหน่วง เมื่อมองในมุมของการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายทางตรง อาทิ ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ค่ายา ค่าบำบัดฟื้นฟูสภาพ และค่ารักษาสำหรับผู้ป่วยนอก ส่วนค่าใช้จ่ายทางอ้อม อาทิ ค่าความสูญเสียจากการทำงานได้ไม่เต็มที่ ค่ารักษานอกสถานพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเสียชีวิตหรือเกษียณอายุก่อนเวลาอันควร
ในประเทศไทย มีตัวเลขประมาณการของค่าใช้จ่ายทางตรง 0.6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทต่อปี และค่าใช้จ่ายทางอ้อม 0.7 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี[10] แบ่งเป็นค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 49% ในขณะที่ค่าตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) รายปีต่อหัว อยู่ที่ 3,513 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 1.25 แสนบาท ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหล้ว (Heart Failure) 7,181 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 แสนบาท และระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเฉลี่ยคนละ 14.2 วัน[11]
จากข้อมูลที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Cardiology แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวในเอเชียมักต้องกลับเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลอีกครั้งหลังออกจากโรงพยาบาลได้ไม่เกิน 30 วัน ทั้งนี้ การตรวจหาค่า NT-proBNP จะช่วยลดระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 12% ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโดยตรงได้ถึง 10% และลดอัตราการแอดมิทฉุกเฉินได้ถึง 50% ดังนั้น การดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ไม่ดีพอนำไปสู่การเพิ่มค่าใช้จ่ายจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ในระบบสาธารณสุข อีกทั้งยังส่งผลกระทบทางการเงินของผู้ป่วยในประเทศที่ไม่มีสวัสดิการครอบคลุมในส่วนนี้และต้องออกค่าจ่ายด้วยตนเอง
ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) และภาวะหัวใจล้มเหลว
การเลิกสูบบุหรี่ การลดกินเค็ม การรับประทานผักและผลไม้มากขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำ และการงดเว้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ประเทศต่าง ๆ ควรส่งเสริมนโยบายด้านสุขภาพที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการตัดสินใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่เอื้อมถึงและหาได้ง่าย เพื่อจูงใจให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ[12]
29 กันยายน วันหัวใจโลก
ธีมวันหัวใจโลก (World Heart Day) ปี 2566 “Use heart, know heart is open-ended” กระตุ้นให้ทุกคนดูแลหัวใจของตนเองและผู้อื่น แคมเปญปีนี้เน้นไปที่ขั้นตอนสำคัญในการเข้าใจหัวใจก่อน “เพราะเมื่อเรารู้มากขึ้น เราก็สามารถดูแลได้ดีขึ้น” ซึ่งในโลกที่ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจมีจำกัดและนโยบายไม่เพียงพอในแต่ละประเทศ สหพันธ์หัวใจโลกจึงมีเป้าหมายที่จะทลายกำแพงและมอบอำนาจให้แต่ละบุคคลควบคุมความเป็นอยู่ที่ดีของตนได้ ปีนี้สหพันธ์หัวใจโลกส่งเสริมให้ผู้คนใช้อิโมจิสัญลักษณ์หัวใจ ❤️ เป็นภาษาภาพสื่อสารต่อกันเพื่อแสดงความห่วงใยต่อคนที่อยู่รอบตัว และสร้างความตระหนักถึงการดูแลรักษาให้ใจที่ถูกวิธี
[1] On World Heart Day 202. Available at https://world-heart-federation.org/world-heart-day/about-whd/world-heart-day-2023/Accessed Sep. 18, 2023.
[2] The top 10 causes of death. Available at www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/the-top-10-causes-of-death. Accessed Sep. 18, 2023.
[3] Global Burden of Disease Collaborative Network. “Global Burden of Disease Study 2019 (GBD 2019) Results”. Seattle, WA: Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME), 2020. Available at: http://ghdx.healthdata.org/gbd-results-tool. Accessed May 1, 2021.
[4] Zhao D. Epidemiological features of cardiovascular disease in Asia. JACC Asia. 2021;1(1):1-13.doi:10.1016/j.jacasi.2021.04.007.
[5] Sidik SM. Heart-disease risk soars after COVID – even with a mild case. Nature. 2022;602(7898):560-560. doi:10.1038/d41586-022-00403-0.
[6] T.E. Owan, D.O. Hodge, R.M. Herges, S.J. Jacobsen, V. L. Roger, M.M. Redfield. Trends in prevalence and outcome of heart failure with preserved ejection fraction. (2006) N. Engl. J Med, 355 251-259.
[7] Cardiovascular diseases (CVDs). Available at www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cardiovascular-diseases-(cvds)Accessed Sep. 18, 2023.
[8] Wong, C., et al (2021). Misdiagnosis of Heart Failure: A Systematic Review of the Literature. Journal of Cardiac Failure, 27(9), pp.925-933. Retrieved from: https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1071916421002049?via%3Dihub
[9] Lab Insights. Evidence-based medicine in heart failure: insights from Prof David Sim. Available athttps://www.labinsights.com. Accessed June 23, 2023.
[10] The Economist Intelligence Unit Limited, editor. The Cost of Silence Cardiovascular disease in Asia. 2018.
[11] S. Lee, R. Khurana, K.T.G. Leong. Heart failure in Asia: the present reality and future challenges. Eur. Heart J. Suppl., 14 (Suppl A) (2012), pp. A51-A52.
[12] Cardiovascular diseases (CVDs). Available at www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cardiovascular-diseases-(cvds)Accessed Sep. 18, 2023.
[ข่าวประชาสัมพันธ์]