[ข่าวประชาสัมพันธ์]
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำภาพผู้นำตลาดรถหรูเมืองไทย ส่งสองสุดยอดรถสปอร์ตที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และสมรรถนะอันดีเยี่ยม เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอกลุ่มรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมี่ยมของแบรนด์ Mercedes-AMG อย่าง “GT R” รถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แรงด้วยเทคโนโลยีแบบมอเตอร์สปอร์ต และ “GT C” สปอร์ตโรดสเตอร์ที่จะมอบความเร้าใจในทุกการขับขี่ โดยรถยนต์รุ่น “Mercedes-AMG GT R” นำเสนอในราคาเริ่มต้นที่ 17.4 ล้านบาท และ “Mercedes-AMG GT C” นำเสนอในราคาเริ่มต้นที่ 16.8 ล้านบาท
มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีพ.ศ. 2560 นี้ ถือเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีของแบรนด์ Mercedes-AMG ซึ่งถือเป็นแบรนด์รถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ที่ยึดถือหลักการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถ ‘ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance’ เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ผ่านการส่งมอบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และเต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมเพื่อมอบความโฉบเฉี่ยวและเร้าอารมณ์ให้กับทุกการขับขี่ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เอเอ็มจีได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ทั้งในด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตและด้านการพัฒนารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงการที่แบรนด์ได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รถยนต์สปอร์ตตระกูล AMT GT ยังช่วยให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าในการพัฒนารถยนต์ของแบรนด์ พร้อมทั้งช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากอีกด้วย”
“โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นอกจากทิศทางการดำเนินงานของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์หลักอย่างแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แล้ว เรายัง มุ่งเน้นมาที่แบรนด์รถยนต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนิช มาร์เก็ต (Niche Market) มากขึ้น โดยล่าสุดได้เปิดตัวรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG สองรุ่นล่าสุด อย่าง Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C เพื่อมาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของกลุ่มรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมี่ยม และแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการไปอีกขั้นของรถยนต์ในตระกูลนี้ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน” มร.ไมเคิล กล่าวเพิ่มเติม
“ปัจจุบัน บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค ทั้งรถยนต์แบรนด์ Mercedes-Benz ทั้งรุ่นประกอบในประเทศ (LOCAL PRODUCTION) และรุ่นนำเข้า (CBU) แบรนด์ Mercedes-Maybachแบรนด์รถยนต์หรูระดับอัลตร้าลักชัวรี และ Mercedes-AMG แบรนด์รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมี่ยม เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย รวมถึงแบรนด์เทคโนโลยีอย่าง EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นในการมอบ ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ ให้กับลูกค้า ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า” มร.ไมเคิล กล่าวปิดท้าย
มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในวันนี้ ถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตที่เร็วที่สุดของโลกอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของรถยนต์ตระกูลสมรรถนะสูง ที่ทางบริษัทฯ ตั้งใจที่จะนำเสนอแก่ลูกค้าผู้ชื่นชอบความสปอร์ตเร้าใจทุกท่าน นอกจากนี้ เรายังถือโอกาสนี้ แนะนำสมาชิกใหม่ล่าสุดจากแบรนด์นี้ถึง 2 รุ่น อย่าง Mercedes-AMG GT R เป็นรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แรงที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีแบบมอเตอร์สปอร์ตเต็มสมรรถนะ และ Mercedes-AMG GT C สปอร์ตโรดสเตอร์ที่พร้อมมอบประสบการณ์ความเร้าใจให้กับทุกการขับขี่ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ผสานพลังกับระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีดีไซน์สปอร์ตเต็มตัวที่โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย และโดดเด่นไม่เหมือนใครตามแบบฉบับของ Mercedes-AMG”
“แบรนด์เอเอ็มจีนั้นมีการดำเนินกลยุทธ์เพื่อพัฒนา และวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน Mercedes-AMG มีรุ่นรถยนต์ให้ลูกค้าเลือกสรรมากมาย ครอบคลุมรถยนต์ทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่รถยนต์คอมแพค รถยนต์สปอร์ต รถยนต์ซาลูน รถยนต์เอสเตท รถยนต์เอสยูวี รถยนต์สไตล์คูเป้ รถยนต์เปิดประทุนสไตล์คาบริโอเลต์ และรถยนต์สไตล์โรดสเตอร์ สำหรับในประเทศไทย เราได้นำเสนอรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG แก่ลูกค้าชาวไทยทั้งหมด 12 รุ่น ได้แก่ Mercedes-AMG A 45 4MATIC, Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG C 63 S Coupé, Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC, Mercedes-AMG SLC 43, Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG GLE 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG GT S รวมถึงสองรุ่นล่าสุด อย่าง Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C ที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอรถยนต์ในกลุ่มสปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทยให้ครบครันมากยิ่งขึ้น” มร.ฟรังค์ กล่าวเสริม
“สำหรับงานเปิดตัวในครั้งนี้ เราได้เลือกจัดงานที่เดอะลิงค์ อโศก-มักกะสัน ซึ่งถือเป็นสถานที่แห่งใหม่ แตกต่างจากที่เคย เพื่อมอบประสบการณ์ความแปลกใหม่และเพิ่มโอกาสให้ทั้งแขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน และลูกค้าคนสำคัญสามารถเข้ามาสัมผัสกับรถรุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากสุดยอดนักแข่งรถสปอร์ตระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียอย่างมร.ปีเตอร์ แฮ็คเค็ท และมร.ดอมินิค สตอรีย์ ชนะการแข่งขัน Australian GT Hampton Downs 500 ในปีนี้ ที่มาเผยประสบการณ์และความประทับใจเกี่ยวกับรถยนต์ตระกูล Mercedes-AMG GT อีกด้วย”
Mercedes-AMG GT R เป็นสมาชิกใหม่ของรถสปอร์ตตระกูล AMG GT และเป็นรถสปอร์ต รุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันล้ำสมัยของรถแข่งมาประยุกต์ใช้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับการขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและความเร้าใจในทุกท่วงท่า รถยนต์รุ่นนี้เป็นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะของรถสปอร์ตกลุ่ม AMG GT 3 กับการใช้งานในชีวิตประจำวันของรถสปอร์ตกลุ่ม AMG GT เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับผู้เป็นเจ้าของที่ชื่นชอบความเร็ว
ดีไซน์ภายนอก รูปลักษณ์ของ Mercedes-AMG GT R สะท้อนปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ที่ทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์และเอเอ็มจียึดถือ ส่วนหน้าของตัวรถมีลักษณะลาดต่ำ และกระจังหน้าแบบ AMG Panamericana (เอเอ็มจีแพนอเมริกาน่า) ที่ยื่นออกไปคล้ายจมูกฉลามนั้นสามารถช่วยลดแรงกดที่ด้านหลังตัวรถ ส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศขณะรถเคลื่อนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังประกอบด้วยวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3, ล้ออัลลอยแบบ AMG Performance (เอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์) มีน้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และทำให้ระบบช่วงล่างและการหมุนพวงมาลัยเป็นไปอย่างราบรื่นและแม่นยำ นอกจากนั้นยังมีหลังคารถที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอน เสริมให้ตัวรถมีสีสันตัดกันสวยงาม พร้อมติด ระบบเบรกแบบ AMG high-performance composite brake สีเหลืองที่เป็นสีพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ
ดีไซน์ภายใน ห้องโดยสารของ Mercedes-AMG GT R ได้รับอิทธิพลมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต โดยเบาะที่นั่งถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ อีกทั้งยังเป็นเบาะที่นั่งแบบ AMG Sports Bucket (เอเอ็มจีสปอร์ตบักเก็ต) หุ้มด้วยหนัง Nappa และเส้นใย DINAMICA Microfibre ที่ช่วยปกป้องลำตัวด้านข้างได้ดีแม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทั้งนี้ ผู้เป็นเจ้าของสามารถเลือกติดตั้งเบาะที่นั่งแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร้าอารมณ์ขณะขับขี่ เช่น ชุดเข็มขัดนิรภัยสีเหลือง ชุดแผงหน้าปัดสีเหลือง หรือชุดแต่งห้องโดยสาร AMG Interior Piano Lacquer (เอเอ็มจีอินทีเรียร์เปียโนแลกเกอร์) เป็นต้น, ชุดแต่ง AMG Interior Night (เอเอ็มจีอินทีเรียร์ไนท์) เป็นชุดแต่งมาตรฐานของรถยนต์รุ่นนี้ โดยทั้งพวงมาลัย และเกียร์จะชุบสีดำเงาทั้งหมด, แผงหน้าปัดกว้าง สื่อถึงเอกลักษณ์ของงานออกแบบอากาศยาน, แผงควบคุมตรงกลางมีลักษณะคล้ายกับท่อรับอากาศแบบนาคา (NACA air intake) ที่นิยมใช้กับเครื่องบิน และมีช่องลมของเครื่องปรับอากาศ 4 ช่องที่ดูคล้ายสปอตไลท์
ความปลอดภัยและเทคโนโลยี Mercedes-AMG GT R มีระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL (เอเอ็มจีไรด์คอนโทรล) ด้วยการใช้โครงสร้างปีกนกสองชั้นเพื่อรักษาสมดุลของล้อ และติดสปริงไว้ด้านบน, ใช้นวัตกรรม AMG Lightweight Performance (เอเอ็มจีไลท์เวทเพอร์ฟอร์มานซ์) ที่เลือกสรรวัสดุน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิต ทำให้โครงสร้างของรถมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง แต่แข็งแกร่งและสามารถกระจายแรงได้เป็นอย่างดี, ระบบควบคุมการยึดเกาะเอเอ็มจีแบบ 9 ระดับ หรือ AMG TRACTION CONTROL สามารถจำลองค่าแรงเสียดทานภายในระยะเวลาเพียง เสี้ยววินาทีเพื่อเตรียมระบบต่างๆ ของรถให้สอดคล้องกับสภาพพื้นถนน โดยมีกลไกชุดหม้อเพลาท้ายรถแบบ LSD เป็นตัวช่วย, เสาค้ำยึดล้อคู่หน้าช่วยลดแรงปะทะขณะเกิดอุบัติเหตุ, ยางรองแท่นเครื่องยนต์และยางรองแท่นเกียร์ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มความสบายและคล่องตัวขณะขับขี่ โดยระบบสามารถปรับแต่งความยืดหยุ่นของทั้งสองชิ้นได้อย่างเป็นอิสระจากกัน ช่วยกระจายแรงกระทำด้านข้างได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีระบบท่อไอเสียเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์รูปทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ใช้ท่อเก็บเสียงที่ผลิตจากไทเทเนี่ยมและเหล็กกล้าไร้สนิม ให้เสียงคล้ายคลึงกับเสียงรถแข่ง
Mercedes-AMG GT C ถือเป็นรถยนต์โรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จากการผสมผสานนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากรถยนต์ Mercedes-AMG GT R เข้ากับระบบช่วงล่างเอเอ็มจีไรด์คอนโทรลแบบสปอร์ต (AMG RIDE CONTROL Sports Suspension) ที่เป็นจุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ ทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ ขณะขับขี่ที่น่าพึงพอใจที่สุด
ดีไซน์ภายนอก มีการเสริมสปอยเลอร์หลังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในสนามแข่งรถยนต์ที่มีช่องทางวิ่งกว้าง, ล้อหลังถูกปรับให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมต่างๆ ที่เพลาหลัง และเพิ่มประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งและเสริมการยึดเกาะ, กระจังหน้าแบบเอเอ็มจีแพนอเมริกาน่า มีวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3, ฝากระโปรงหน้ายาวและทรงพลัง ทำให้รถดูกว้างขวาง อีกทั้งยังมีช่องรับอากาศที่กว้าง ช่วยให้อากาศไหลผ่านเข้าสู่ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่องรับอากาศนี้สามารถเปิดหรือปิดตัวเองได้อัตโนมัติตามความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่กำหนดเอง นอกจากนั้นยังมีหลังคาผ้าใบ 3 ชั้นที่มีผิวสัมผัสนุ่ม มีโครงสร้างเป็นโลหะผสมแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา โดยสามารถกางเปิดหรือเลื่อนปิดได้อัตโนมัติภายในเวลา 11 วินาที และใช้งานได้แม้ขณะรถวิ่งที่ความเร็วสูงสุดที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดีไซน์ภายใน มาพร้อมกับเบาะหนัง Nappa ที่อยู่ต่ำเพื่อช่วยโอบล้อมผู้ขับขี่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในรถแข่ง, พวงมาลัยเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์หุ้มหนัง Nappa และ เส้นใย DINAMICA Microfibre หรือสามารถสร้างความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้นด้วยชุดเบาะเสริมแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ที่สามารถปกป้องร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นด้วยพนักพิงหลังที่มีความโค้งและเสริมด้วยวัสดุเพื่อความนุ่มสบายที่ด้านข้างมากกว่าเบาะที่นั่งแบบมาตรฐาน อีกทั้งยังติดตั้งระบบให้ความอบอุ่นบริเวณช่วงคอแบบแอร์สคาร์ฟ (AIRSCARF) และระบบทำความเย็นให้กับเบาะสำหรับการขับขี่แบบเปิดประทุนทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยผู้โดยสารสามารถปรับเลือกอุณหภูมิของระบบทำความร้อนและความเย็นได้ 3 ระดับ, แผงหน้าปัดกว้าง ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมด้วยปีกนก และห้องโดยสารที่สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลายเพื่อเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ฝากระโปรงหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุ SMC (Sheet Moulding Compound) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีมงานของ Mercedes-Benz TEC (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทีอีซี) และผู้เชี่ยวชาญของเอเอ็มจี ทำให้ฝากระโปรงรถมีน้ำหนักเบา แต่ยังคงไว้ซึ่งความทนทานและแข็งแรง, ระบบช่วงล่างของทั้ง 4 ล้อมีทั้งปีกนก แกนบังคับเลี้ยว และโครงฐานคุมล้อ (hub carrier) ที่หล่อจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยล้อทั้ง 4 ถูกควบคุมโดยกลไกปีกนกแบบ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหมุนของล้อและการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C มาพร้อมกับระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดของเกียร์หลักได้ 3 แบบ คือ “C” (Comfort) สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย, “S” (Sport) และ “S+” (Sport Plus) เน้นความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ “I” (Individual) ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ อีกทั้งยังมีโหมด “RACE” ที่เป็นโหมดเสริมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความแรงและเกียร์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ ซึ่งจะมาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์ ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถสร้างข้อกำหนดทั้งหมดในแต่ละโหมดการขับขี่เองได้ด้วยการกดปุ่ม “M” (Manual) ที่อยู่ตรงกลางแผงควบคุม, ระบบเพลาหลังแบบแอคทีฟ (active rear axle steering) ที่จะหมุนเพลาล้อคู่หลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเพลาล้อคู่หน้าเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และประหยัดแรงในการหมุนพวงมาลัย แต่หากความเร็วสูงสุดเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปทั้งล้อคู่หน้าและหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเสริมสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้ท้ายรถไม่ปัดเมื่อหักเลี้ยว
รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 4 ลิตร ระบบไดเรค อินเจคชั่น และระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด (seven-speed dual clutch transmission) ที่ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และการตอบสนองของระบบเกียร์จะดีขึ้นตามจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่
Mercedes-AMG GT R ราคาเริ่มต้นที่ 17,400,000 บาท
Mercedes-AMG GT C ราคาเริ่มต้นที่ 16,800,000 บาท
[ข่าวประชาสัมพันธ์]