[ข่าวประชาสัมพันธ์]
อิมแพ็ค ชู Digital Transformation ดำเนินธุรกิจในปีที่ 25 นำพาองค์กรสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สร้างคุณค่าครอบคลุมทุกด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมปฏิบัติตามแนวทางมาตรฐานการจัดงานอย่างยั่งยืน (TSEMS) บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการตามหลักธรรมาภิบาล เผยปี 2565 ที่ผ่านมาเป็นปลื้ม นโยบายความมั่นคงทางพลังงาน สามารถลดการใช้พลังงานในพื้นที่จัดแสดงงานได้ถึง 7% ประหยัดค่าไฟฟ้า และลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ สอดรับกับนโยบาย BCG ของประเทศ
นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2566 (เมษายน 2566 – มีนาคม 2567) ซึ่งเป็นการก้าวสู่ปีที่ 25 ของ อิมแพ็ค มุ่งเน้นการทำงานรูปแบบใหม่ Digital Transformation หรือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โดยใช้ดิจิทัลมาเป็นหัวใจในการดำเนินงานของทุกภาคส่วน ให้มีการเชื่อมต่อเข้าถึงกันหมดไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทำงาน (Working process) การสื่อสารระหว่างกัน (Communication) เเละข้อมูลที่ทันเวลา (Real time data) พร้อมวางกรอบนโยบายมุ่งสู่องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างคุณค่าครอบคลุมทุกด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี ดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล, การให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน, การสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน, การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกด้าน, การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล, การเติบโตอย่างสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม,การเคารพความหลากหลาย ให้ความเท่าเทียมปราศจากการเลือกปฏิบัติ ปกป้องสิทธิมนุษยชน นอกจากนั้น ยังคงต้องเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรและรักษาการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาความพร้อมของพนักงาน สนับสนุนคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมการใช้ดิจิทัล รวมถึงให้ความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรคู่ค้า
สำหรับ อิมแพ็ค ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจไมซ์ (MICE) ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นปฏิบัติตามแนวทางมาตรฐานการจัดงานอย่างยั่งยืน (TSEMS) โดยส่งเสริมให้พนักงานตระหนักถึงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐาน TSEMS ซึ่งทุกฝ่ายในบริษัทฯ จะมีตัวแทนพนักงานเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน นำเสนอโครงการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในด้านต่างๆ ซึ่งดำเนินงานควบคู่ไปกับนโยบายของทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ที่มีการจัดอบรมคอยให้คำแนะนำ มาเยี่ยมชมโครงการทุกปี และจะตรวจประเมินรับรองมาตรฐานในทุก 3 ปี
การวางแผนดำเนินงานส่งเสริมองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้กำหนดโครงการหลักครอบคลุมในทุกด้านทั้งสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการพลังงานสะอาด, โครงการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง, โครงการลดการใช้พลาสติก, โครงการจัดการน้ำเสียภายในพื้นที่เมืองทองธานี,โครงการเปิดพื้นที่ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า, โครงการจัดซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม,โครงการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste), โครงการอิมแพ็ค ฟาร์ม, โครงการสนับสนุนการจ้างงานคนในชุมชน นักเรียน นักศึกษา, โครงการกล้า MICE, โครงการอิมแพ็ค ปันน้ำใจมอบรักสู่สังคม, โครงการสุนัขชุมชนเมืองทองธานี, โครงการจักรยานสายตรวจชุมชนเมืองทองธานี, โครงการ Hotel Sustainable ของโรงแรมในเครืออิมแพ็ค (โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค และ ไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค) เป็นต้น
“ในปี 2565 ที่ผ่านมา แต่ละโครงการได้ดำเนินงานตามแผนและสรุปผลสำเร็จรายงานต่อทีมบริหาร ซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจในหลายโครงการสนับสนุนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และยังมีผลทางเศรษฐกิจด้วย ยกตัวอย่าง นโยบายความมั่นคงทางพลังงาน โครงการพลังงานสะอาด โครงการลดการลดใช้พลังงาน อิมแพ็ค ได้ดำเนินการติดตั้งโซลาห์เซลล์ รูปแบบ Solar Rooftop เปลี่ยนพลังงานธรรมชาติอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ให้มาอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้า ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งลดปัญหาก๊าซเรือกระจก ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ถือเป็นทางเลือกพลังงานสะอาดและมีความยั่งยืน”
โครงการโซลาห์เซลล์ หรือ Solar Rooftop ของ อิมแพ็ค มีการติดตั้งใน 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ หลังคาของอาคารชาเลนเจอร์ มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 593.64 กิโลวัตต์ หลังคาอาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 316.20 กิโลวัตต์ หลังคาอาคารจอดรถ P.3 มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 153 กิโลวัตต์ ซึ่งในปี 2565 ทั้ง 3 อาคารมีปริมาณการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 1,137,805 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ในส่วนของโครงการลดการใช้พลังงาน อิมแพ็ค ได้ปลูกฝังค่านิยมให้กับพนักงานในองค์กร รวมถึงคู่ค้าผู้จัดงาน ตระหนักและมีส่วนร่วมในการลดการใช้พลังงาน เพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน พร้อมตั้งเป้าลดการใช้พลังงานในพื้นที่จัดแสดงงาน อีกทั้งวางแผนดำเนินงานควบคุมและลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง
ปี 2565 ที่ผ่านมา อิมแพ็ค ตั้งเป้าลดการใช้พลังงานในพื้นที่จัดแสดงงานอยู่ที่ 4% (อ้างอิงข้อมูลปี 2563 มาเป็นฐานเปรียบเทียบ ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมการใช้พลังงานได้มากกว่าปี 2564 ที่มีสถานการณ์โควิด-19 และถูกสั่งปิดพื้นที่เป็นระยะ) ทั้งนี้ อิมแพ็ค ลดการใช้พลังงานในพื้นที่จัดแสดงงานได้เกินเป้าอยู่ที่ 7.83% ประหยัดพลังงานได้ถึง 1,811,224 กิโลวัตต์/ชั่วโมง คิดเป็นอัตราค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ 7,806,376.27 บาท (อัตราค่าไฟเฉลี่ย 4.31 บาทต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง) สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนหรือลดก๊าซเรือนกระจก 1,016,096.77 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2e) เทียบเท่าการลดการใช้พลังงานบ้าน 2 ชั้น ขนาด 16 ตารางวา จำนวน 5,407 หลังคาเรือน โดยความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากการติดตั้งโซลาห์เซลล์ การเปลี่ยนอุปกรณ์หลอดไฟเดิมเป็นหลอดไฟ LED ตามพื้นที่อาคารและห้องจัดงานต่างๆ ระบบปรับอากาศ มีการเปลี่ยนม่านอากาศ หรือ Air Curtain ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยในการป้องกันอากาศภายในออกสู่ด้านนอก เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในไว้ การควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ (BBP) รวมถึงการปรับใช้อุณหภูมิพื้นที่จัดงานที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม วาระครบรอบ 25 ปี อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในเดือนตุลาคมนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าในการขยายธุรกิจพัฒนาศักยภาพสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์และเป้าหมายระยะยาวที่จะยกระดับการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า TBC Sustainability Goals 2030 หรือ TBC SG 2030 สอดรับกับนโยบาย BCG โมเดล (Bio, Circular, Green Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Emission) ของประเทศ
[ข่าวประชาสัมพันธ์]