ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย จากสินค้าและบริการต่างๆ แบรนด์น้อยใหญ่เต็มไปหมด แน่นอนว่าเจ้าของแบรนด์ – นักการตลาดอยากให้สินค้า/แบรนด์ของตนเองเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค แต่การจะเป็นสินค้า/แบรนด์ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อ และกลายเป็น Top of Mind Brand ได้ในที่สุดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีเอกลักษณ์ หรือความโดดเด่นบางประกาศที่ “ต้องตาต้องใจ” ผู้บริโภค จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด
Marketing Oops! Podcast รายการ Brand Life ตอนนี้ว่าด้วยแนวคิด “คาถาแปลงร่างสินค้า” เพื่อสร้าง “คุณค่าเพิ่ม” และ “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับผลิตภัณฑ์ และแบรนด์
มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องของคาถาแปลงร่างผลิตภัณฑ์ในมิติที่ต่างกันไป..
แต่สุดท้ายได้ผลเหมือนกัน คือเกิดปรากฏการณ์สร้างยอดขายถล่มทลายได้จริงๆ ดังกรณีศึกษาของ 2 เรื่องราวนี้
จาก “ลูกชิ้นธรรมดา” สู่ “ลูกชิ้นแห่งการเฉลิมฉลองเอกราช”
ถ้าคุณเป็นร้านขายลูกชิ้นปลาธรรมดาๆ แต่อยากจะเพิ่มยอดขายให้ดีขึ้น
หลายๆ แบรนด์ก็อาจต้องใช้แนวคิดเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปในรูปแบบต่างๆ
อาจเริ่มต้นด้วยการเพิ่มรสชาติให้หลากหลาย อาทิ เพิ่มสาหร่ายลงไป ให้กลายเป็นลูกชิ้นปลาสาหร่าย หรือเพิ่มเต้าหู้ลงไป ให้กลายเป็นลูกชิ้นปลาเต้าหู้ หรือไม่ก็เพิ่มพริกไทยลงไปกลายเป็นลูกชิ้นปลาพริกไทยดำ เพิมวิตามินกลายเป็นลูกชิ้นปลาวิตามิน ลูกชิ้นปลาโอเมก้า ลูกชิ้นปลาคอลาเจน สารพันจะสร้างสรรค์ขึ้นมา
หรือพัฒนาไปในแนวทางการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ให้ดึงดูดความสนใจผู้ซื้อ เช่นเป็นลูกชิ้นปลารักบี้ ลูกชิ้นปลารูปดาว ลูกชิ้นปลาลูกเต๋า ลูกชิ้นปลาจิ๋ว ลูกชิ้นปลาบิ๊กเบิ้ม
หรือจะลองเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ให้ดึงดูด ออกแบบแพ็คเกจจิ้งใหม่ให้เร้าใจ ก็ทำได้
แต่ร้านนี้ที่สิงค์โปร์ เขามีไอเดียธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา และน่าสนใจแบบสุดๆ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่เพียงชั่วข้ามคืนลูกชิ้นปลาแบรนด์นี้ ก็กลายเป็นของอินเทรนด์ ยอดขายถล่มทลาย ขายดิบขายดี ถูกลูกค้ารุมกระหน่ำแย่งซื้อกันจนเกลี้ยงแผง
ด้วยวิธีการง่ายๆ โดยลูกชิ้นปลา “Ha Li Fa” นี้เขาสร้างสรรค์ลูกชิ้น ด้วยการทำมันให้เป็นแผ่นแบนๆ แล้วเจาะตัวเลขลงไปตรงกลางแผ่น
โดยเจาะรูเป็นตัวเลข 50
คงสงสัยใช่ไหมครับว่า แค่เจาะตัวเลขลงไป ทำไมจู่ๆ มันถึงขายดีขึ้นมาได้ ?
การเปลี่ยนลูกชิ้นธรรมดาๆ ให้กลายเป็นลูกชิ้นปลาที่มีตัวเลข 50 ตรงกลางแผ่น นั้นเพื่อทำให้มันกลายเป็นลูกชิ้นปลา สำหรับการฉลองครบรอบ 50 ปี วันประกาศอิสรภาพของประเทศสิงคโปร์
จากลูกชิ้นธรรมดาๆ เมื่อมันกลายเป็น ลูกชิ้นปลาเฉลิมฉลองเอกราช เมื่อนั้นมันก็กลายเป็นกระแส กลายเป็นลูกชิ้นปลาที่มีความหมายแบบสุดๆ ขึ้นมาทันที
กลายเป็นว่า ไม่ว่าบ้านไหนจะปรุงอะไร จะเอาลูกชิ้นไปทอด ต้ม ผัด เอาไปใส่สุกี้ ใส่ก๋วยเตี๋ยว ใส่เกาเหลา ผู้คนก็จะให้ความสนใจ อยากจะลองซื้อไปรับประทานกันด้วยหัวใจรักชาติแบบสุดๆ
เมื่อลูกชิ้นธรรมดาๆ เกิดมีสตอรี่เรื่องราวกลายเป็นลูกชิ้นปลาเพื่อการเฉลิมฉลองเอกราช และมันก็กลายเป็นของขายดีไปได้ในที่สุด
เปลี่ยนเศษวัสดุไร้ค่า สู่การครีเอท “ของที่ระลึก” ใส่เรื่องราว สร้างมูลค่าเพิ่ม
อีกเรื่องราวเริ่มต้นมาจากกรุงนิวยอร์ค
ในช่วงปี คศ.1974 ย้อนหลังกลับไปราว 45 ปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เปิดให้มีการ “ประมูลขยะ” ที่ได้จากการบูรณะอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ บนอ่าวนิวยอร์ค
ซึ่งหากเป็นนักธุรกิจที่ทำมาค้าขายขยะแบบธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป หากได้ลองคิดคำนวนค่าขายวัสดุรีไซเคิลที่จะได้ เปรียบเทียบกับความวุ่นวาย ค่าเสียเวลา รวมทั้งค่าโสหุ้ยในการขนย้ายต่างๆ แล้ว คิดสะระตะแล้วยังไงซะก็ได้เงินไม่คุ้มเหนื่อย
แถมกฏเกณฑ์กระบวนการกำจัดขยะในมหานครนิวยอร์กนั้น มันช่างเคร่งครัดรัดกุม ยุ่งยากเสียเหลือเกิน จึงทำให้ไม่มีใครสนใจที่จะประมูลขยะจากงานนี้เลย
เรียกได้ว่า ไม่มีแม้แต่ผู้ที่คิดจะเข้าร่วมประมูลเลยแม้แต่รายเดียว
แต่กลับมีชายคนหนึ่ง เขายกเลิกแผนการเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศส แล้วบินตรงมายังนิวยอร์ค เพื่อมาดูกองขยะกองนี้ เขามองเห็นเศษไม้ เศษน๊อต เศษแผ่นทองแดงกองใหญ่ แล้วก็ใช้ความคิดตัดสินใจทำตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ
เขาตกลงเซ็นสัญญาเพื่อขอรับสัมปทานในการกำจัดขยะ
และในทันทีที่การเซ็นสัญญาเกิดขึ้น บริษัทรับซื้อของเก่าหลายๆ แห่งในนิวยอร์ค ต่างล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชายคนนี้เสียค่าโง่แบบสุดๆ เพราะการขนส่งขยะทางทะเลนั้นมันทำได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งมูลค่าของวัสดุที่จะนำไปขายเพื่อรีไซเคิลนั้น ก็ไม่มีราคาสูงเพียงพอ
แต่ชายหนุ่มกลับเดินหน้าไปตามความคิดของเขา โดยไม่ฟังเสียงคำครหาใดๆ
เขาเริ่มต้นด้วยการนำเศษทองแดงจากกองขยะไปหลอมรวมกัน แล้วนำมันไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ นั่นก็คือ เทพีเสรีภาพจำลองตัวเล็กๆ โดยไม่ลืมที่จะใช้เศษไม้จากกองขยะนั้น นำมารีไซเคิลใช้เป็นฐานเทพีจำลอง แล้วก็เปิดขายให้กับนักท่องเที่ยวในราคาสูง
แน่นอนว่าจุดขายสำคัญของเจ้าเทพีเสรีภาพจำลองนี้ก็คือ มันทำจากทองแดงของอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพตัวจริง
ซึ่งมันมีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย
ยังไม่พอ เขาจัดการคัดแยกเศษน็อต ข้อต่อ อลูมิเนียม และเศษโลหะอื่นๆ นำมาหลอม เพื่อผลิตออกมาเป็นพวงกุญแจ รูปจตุรัสไทม์สแควร์ แล้วขายให้กับนักท่องเที่ยว
และก็เหมือนเดิม เพราะเจ้าพวงกุญแจรีไซเคิลจากวัสดุเทพีเสรีภาพ ขายดิบขายดี เพราะมันมีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย แถมยังขายได้ราคาแพงกว่าพวงกุญแจทั่วๆ ไป หลายเท่านัก
ด้วยเรื่องราว และเหตุผลทั้งหมด…
ไม่ต้องแปลกใจที่ของที่ระลึกชุดนี้ จะสามารถขายได้ในราคาสูง และมันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จำหน่ายหมดไปภายในระยะเวลาสั้นๆ
ใช้เวลาเพียงแค่สามเดือน เขาทำเงินจากกองขยะที่ไม่มีใครสนกองนี้ ได้กว่า 100 ล้านบาท ด้วยการมองเห็นถึง Story ที่ซุกซ่อนอยู่ในกองขยะเศษวัสดุกองโต
จากสองเล่าเรื่องนี้ทำให้มองเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า
มูลค่าเพิ่มของสินค้านั้น มันเกิดขึ้นได้จาก “ความเชื่อ” และ “ความรู้สึก” ล้วนๆ มันเกิดขึ้นด้วยการใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” นำเอาความรู้สึกเหล่านั้นมาผูกต่อร้อยเป็นเรื่องราว จนกลายเป็น Story ที่น่าสนใจที่มันดึงดูดผู้คนแบบสุดๆ
โดยเรื่องราวน่าสนใจ นั้นมันเกิดขึ้นได้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งจากสิ่งแวดล้อม ทั้งจากที่มาของวัตถุดิบ ซึ่งสามารถโน้มนำความรู้สึกร่วมให้เกิดขึ้นได้ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของคุณกลายเป็นของที่ใครๆ ต้องการ มีราคา มีมูลค่า ขึ้นมาทันที
จากลูกชิ้นธรรมดาๆ กลายเป็นลูกชิ้นเพื่อการร่วมฉลองเอกราช
หรือเทพีเสรีภาพจำลอง และพวงกุญแจ ที่ทำจากชิ้นส่วนของเทพีเสรีภาพตัวจริง
เจ้าคาถาแปลงร่างนี้ เกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง ทุกอย่าง
จากบทสนทนาและการสัมภาษณ์นักคิด นักธุรกิจหลายๆ คนที มีบางบทสรุปจากผู้ที่ชาวยให้เข้าใจได้ว่า คาถาแปลงร่าง เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของคุณให้มูลค่ามากกว่าเดิม จะมีส่วนผสมสำคัญอยู่ 3 สิ่งที่ใช้นำมาปรุง
1. นวัตกรรม
2. ศิลปะ
และ 3. เรื่องเล่า
เพียงแค่คุณจะต้องมีสายตาเฉียบคม และปัญญาเฉียบแหลมมองมันให้ทะลุ
สามารถติดตามรับฟัง Marketing Oops! Podcast
ผ่านทางช่องทางต่างๆ ได้ที่