Zara แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำจากประเทศสเปนเปิดแพลทฟอร์มใหม่ที่บริการ ซื้อ-ขาย-ซ่อม และบริจาคเสื้อผ้ามือสองหรือเรียกสั้นๆว่า “Pre-Owned” แล้วหลายสิบปประเทศในภูมิภาคยุโรป โดยล่าสุดเตรียมเปิดบริการนี้ในสหรัฐอเมริการในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมกับประกาศว่าจะเปิดบริการในตลาดอื่นๆรวมถึงประเทศไทยในปี 2025 นี้
Inditex บริษัทแม่ของ Zara ระบุว่า การเปิดตัวแพลตฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยมีเป้าหมายในการขยายแพลตฟอร์มนี้ไปยังตลาดสำคัญทั้งหมดภายในปี 2025
การเปิดแพลทฟอร์ม Pre-Owned ของ Zara ครั้งนี้เป็นความพยายามในการปรับตัวของธุรกิจ Fast-Fashion ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่ากระตุ้นให้เกิดการบริโภคเกินพอดีรวมไปถึงจะสร้างขยะให้กับโลกเป็นจำนวนมากจากการออกสินค้าใหม่ปีละหลายครั้งทำให้คนต้องตามเทรนด์ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆใส่อยู่ตลอด
อย่างไรก็ตามด้วยเทรนด์ของผู้บริโภคยุคนี้ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะจากกระแส “Sustainability” รวมถึงเทรนด์ “Underconsumption” เทรนด์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายที่ประหยัด การใส่เสื้อผ้าซ้ำๆไม่จำเป็นต้องตามแฟชั่น ให้ความสนใจกับสินค้าที่มีคุณภาพและทนทาน นิยมซื้อเสื้อผ้ามือสองและซ่อมเสื้อผ้าของใช้ให้กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง สิ่งนี้เป็นแรงกระตุ้นให้อุตสาหกรรม Fast-Fashion ต้องปรับตัว
สำหรับใครที่ต้องการซ่อม ซื้อ ขาย หรือบริจาคเสื้อผ้ามือสองของ Zara เมื่อเปิดตัวในประเทศไทยแล้วจะสามารถเข้าไปใช้บริการ Pre-Owned ได้ทั้งที่ร้านสาขาของ Zara ได้โดยตรงรวมถึงใช้บริการผ่าน แอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ก็ได้
สำหรับการซื้อสินค้า Pre-Owned จะมีให้เลือกคลิกเข้าไปในแต่ละหมวดหมู่ เมื่อเลือกแล้วจะมีหัวข้อให้เลือกว่าจะ ซื้อ ขาย หรือ บริจาค โดยลูกค้าสามารถค้นหารายละเอียดสินค้าของที่เราจะขายจากระบบของ Zara ได้ สามารถใส่รายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงตั้งราคาได้เองเลย โดยบริการของผู้ใช้งาน Pre-Owned ในต่างประเทศเมื่อมีคนกดซื้อระบบจะมีระบบให้ปรินท์จ่าหน้าสำหรับส่งสินค้า และจะมีบริการขนส่งมารับสินค้าของเราถึงที่บ้านได้เลย
การปรับตัวครั้งนี้ไม่ใช่แค่ Zara เท่านั้นแต่หลายแบรนด์ก็หันมาให้ความสำคัญกับตลาดเสื้อผ้ามือสองเช่นกันอย่างเช่นแบรนด์คู่แข่งอย่าง H&M เองก็ร่วมมือกับ ThredUp แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับซื้อขายสินค้าแฟชั่นมือสองรายใหญ่ เพื่อเปิดตัวเว็บไซต์สำหรับขายสินค้ามือสองในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของแบรนด์ใหญ่ปรับตัวตามความต้องการผู้บริโภค โดยเฉพาะความต้องการสินค้ามือสองที่เพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันนั่นเอง