เป็นไปได้หรือที่จะมีเจ้าของบริษัท Startup (สตาร์ทอัพ) อายุแค่ 26 ปี จะคิดการใหญ่สร้างรายชื่อลูกค้าปลอมใส่ไฟล์ Excel เอาไปหลอกเงินลงทุนจากธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเป็นเงินเกือบ 6,000 ล้านบาทได้สำเร็จ
เรื่องนี้เป็นไปแล้ว เพราะนี่คือวีรกรรมของ Charlie Javice เจ้าของสตาร์ทอัพนามว่า Frank บริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการทางการเงินกับนักศึกษาอเมริกัน และบริษัทนี้เองที่ Charlie กุตัวเลขลูกค้าให้มีมากเกินจริงทำให้ JPMorgan Chase หลงเชื่อควักเงินมหาศาลซื้อไป
จนกระทั่งโป๊ะแตก! JPMorgan Chase ฟ้องร้อง Charlie ในข้อหาฉ้อโกงจนอาจจะต้องติดคุกตลอดชีวิต
เรื่องนี้มีสิ่งที่ทำให้เราสงสัยมากมาย ตั้งแต่ เป็นไปได้ยังไงที่ JPMorgan Chase จะพลาดหลงเชื่อ? ทำไมไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อ? แล้ว Charlie ทำอะไรกับไฟล์ Excel รายชื่อลูกค้าที่ว่านั้น? ไม่มีใครสงสัย Charlie เลยเหรอทั้งๆที่มีสัญญาณเตือนมากมายในช่วงหลายปีก่อนที่จะขาย Frank?
และไม่น่าเชื่อว่าแรงบันดาลใจในการเริ่มทำธุรกิจของเธอก่อนจะกลายเป็นจำเลยข้อหาฉ้อโกงจะได้มาจากประเทศไทย! คุณจะได้รู้ทุกๆคำตอบในบทความนี้
Startup ลวงโลก

ถ้าพูดถึง Startup ลวงโลกเราคงนึกถึง Therenos บริษัทแห่งวงการ Biotechnology ของ Elizabeth Holmes ที่อ้างว่ามีนวัตกรรมการตรวจเลือดแบบใหม่ที่ถ้าทำได้จริงจะนับเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์กันเลยทีเดียว
Therenos ดึงดูดเงินลงทุนมากกว่า 23,000 ล้านบาทได้ แต่สุดท้ายกลับถูกแฉว่าทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง ส่วน Elizabeth Holmes เจ้าของบริษัทต้องติดคุก 11 ปี กว่าจะออกมาได้อีกทีก็ปี 2032
แต่ใครจะไปนึกว่าในวงการ FinTech มีอีกคนที่กำลังเดินในเส้นทางเดียวกับ Holmes เธอคนนั้นคือ Charlie Javice ผู้ก่อตั้ง Frank บริษัทสตาร์ทอัพที่ทำแพลทฟอร์มให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาอเมริกัน คนที่ตอนนี้ตกเป็นจำเลยในข้อหาฉ้อโกงธนาคาร JPMorgan Chase มูลค่าเกือบ 6,000 ล้านบาท และอาจทำให้เธอต้องติดคุกตลอดชีวิต
คดีที่ทำให้ Charlie Javice ได้ฉายาใหม่ว่า Elizabeth Holmes แห่งวงการ Fintech ไปแล้ว
Charlie Javice คือใคร?
Charlie Javice เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิวเกิดในปี 1993 เติบโตในครอบครัวที่มีฐานะในนิวยอร์ก พ่อทำงานใน Hedge Fund ขนาดใหญ่ส่วนแม่เป็นอดีตครูที่ทำอาชีพ Life Coach
Charlie ไม่เคยมีชีวิตลำบาก เธอจบจากเรียนโรงเรียนนานาชาติชื่อดังที่ค่าเล่าเรียนแพงระยับ จบการศึกษาด้านธุรกิจจากมหาวิทยาลัยระดับ IVY League อย่าง Wharton University of Pennsylvania เรียกว่านอกจากรวยแล้วประวัติการศึกษายังดีสุดๆด้วย
Charlie สนใจในธุรกิจและการเงินตั้งแต่เด็ก มี “ความมั่นใจในตัวในตัวเองสูง” มีภาวะผู้นำเพราะเคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกองค์กรนักศึกษาชาวยิวของมหาวิทยาลัย เธอมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เลยคิดโมเดลธุรกิจได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จนได้รับเสียงชื่นชมมาอย่างต่อเนื่อง
นักธุรกิจ FinTech ดาวรุ่ง
ธุรกิจแรกของ Charlie คือบริษัท PoverUp บริษัทด้านการเงินสำหรับผู้ด้อยโอกาส
เธอคิดโมเดลธุรกิจนี้ที่ตั้งแต่เธอยังเรียนไม่จบจนได้รับเสียงชื่นชมมากมาย ตามมาด้วย tapd หรือแทป บริษัทที่ช่วยให้นักศึกษาอเมริกันเข้าถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ง่ายขึ้น
และที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือ Frank สตาร์ทอัพ FinTech เพื่อนักศึกษา ที่เติบโตอย่างรวดเร็วสุดๆ
Frank เป็นแพลทฟอร์มที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยนักศึกษาอเมริกันลดเวลาการกรอกเอกสารขอทุนการศึกษาจากรัฐบาลที่ซับซ้อนมากๆให้เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังมีบริการช่วยค้นหาทุนการศึกษาและคอร์สเรียนราคาประหยัดได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นแพลทฟอร์มที่นักศึกษาที่อยากได้ทุนเรียนต้องเข้ามาใช้งานกันแทบทุกคน
สิ่งนี้ทำให้ Frank เคยบอกไว้ว่า ” Frank มีลูกค้าเป็นนักศึกษาอเมริกันคนรุ่นใหม่มากกว่า 4 ล้านคนเลยทีเดียว”
ความสำเร็จของ Frank ทำให้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนเป็นเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ จนสุดท้ายธนาคารระดับโลกอย่าง JPMorgan Chase สนใจลงทุนซื้อ Frank ไปด้วยเงิน 175 ล้านดอลลาร์หรือ เกือบ 6,000 ล้านบาท
สุดคุ้ม! ลูกค้ากลุ่ม Gen Z ที่มีค่าดั่งทอง
ถามว่าเป็นดีลที่คุ้มค่าไหม สำหรับ JPMorgan Chase ก็ต้องบอกว่า “คุ้มสุดๆ” โดยเฉพาะในยุคที่ Data มีค่ามากๆในแง่การตลาด
ดีลนี้จะทำให้ JPMorgan Chase ทำการตลาดสื่อสารถึงคน Gen Z ระดับ 4 ล้านคนได้ คิดง่ายๆว่าแค่สามารถดึงคนกลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าบัตรเครดิตได้ซัก 10% หรือ 4 แสนคนก็นับว่าคุ้มสุดๆแล้ว
การมีข้อมูลของคนรุ่นใหม่ 4 ล้านคนทำให้ธนาคารทำการตลาดในแง่มุมต่างๆได้ ตั้งแต่วิเคราะห์พฤติกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายได้ ไม่นับการสร้างแบบจำลองทางการเงิน ประเมินความเสี่ยงการให้กู้ อนุมัติสินเชื่อ
หรือแม้แต่การทำการตลาดแบบ Personalization พูดง่ายๆว่า ธนาคารจะสามารถส่งโปรโมชั่นให้เราทาง SMS ทางอีเมล์ หรือโทรมาขายของ แบบเดียวกับที่มิจฉาชีพบ้านเราทำได้ แต่นี่คือทำได้แบบถูกกฎหมาย
ยังไม่นับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆอีกมากมายที่จะสามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจ รวมไปถึงเป็นโอกาสสร้าง Brand Loyalty ดึงคนกลุ่มนี้ให้เป็นลูกค้าธนาคารต่อไปได้อย่างยาวนาน
ที่เรียกว่าคุ้มมากๆเพราะคนกลุ่มนี้อายุยังน้อย มี Lifetime Value หรือมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าที่สูงมากๆ ความหมายง่ายๆก็คือยังมีเวลาทำเงินให้ธนาคารไปอีกนานนั่นเอง
การันตีชื่อเสียงจากสื่อดัง
นอกจาก Charlie จะโปรไฟล์ดีเพราะจบจากมหาวิทยาลัยระดับ IVY League แล้ว Charlie ยังมีความน่าเชื่อถือมากๆเพราะไม่เช่นนั้นสื่อคงไม่เชิญเธอไปออกอยู่บ่อยๆ เช่นในปี 2011 เธอติดอันดับ 1 ใน “100 บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดโดยนิตยสาร Fast Company” ตั้งแต่มีอายุได้เพียง 18 ปีจากการตั้ง PoverUp แพลทฟอร์มสินเชื่อเพื่อคนด้อยโอกาสในประเทศกำลังพัฒนา
เธอโด่งดังจนได้รับคัดเลือกให้ออกรายการ Reality Show ชื่อ “20 under 20 Transforming Tomorrow” ทางช่อง CNBC ในปีถัดมาด้วย
Charlie โด่งดังเข้าไปอีกหลังจากเธอก่อตั้ง Frank สตาร์ทอัพด้านการเงินเพื่อนักศึกษาเข้าถึงทุนการศึกษาจากรัฐ เรื่องราวของเธอถูกตีพิมพ์ใน The New York Times สื่ออันดับต้นๆในสหรัฐ ในปี 2017 และได้ออกสื่อดังๆ อีกหลายเจ้าในช่วงนั้น
ที่ปังที่สุดก็คือเธอได้ติดอันดับ “30 under 30” จากนิตยสาร Forbes ที่จะคัดเลือกคนวัยไม่เกิน 30 ปีจำนวน 30 คนที่โดดเด่นในสาขาอาชีพต่างๆจากทั่วโลกมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเป็นนักธุรกิจสาวดาวรุ่งที่ในวัยเพียงแค่ 26 ปี นับว่าประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุยังน้อยและทำให้ Frank เป็นที่สนใจจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ
JPMorgan ซื้อ Frank 6,000 ล้าน

ในที่สุดความโด่งดังของเธอเข้าตา JPMorgan Chase ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ธนาคารเก่าแก่ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ๆให้ได้มากขึ้น ท่ามกลางตลาด FinTech ที่กำลังเติบโตและมีคู่แข่งเป็นบริษัทใหม่ๆมากมาย
JPMorgan Chase มองไปที่กลุ่มนักศึกษา กลุ่มคนที่อีกไม่นานจะเข้าสู่วัยทำงาน เป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มสำคัญที่ธนาคารอยากได้ให้มาใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารต่อไปอีกให้นานที่สุด
วิธีที่ง่ายที่สุดที่ JPMorgan Chase จะหาลูกค้ากลุ่มนี้ได้ทีเดียวหลายล้านคนก็คือ ซื้อบริษัท FinTech ที่มีกลุ่มลูกค้าเหล่านี้อยู่แล้วและ Frank ก็คือเป้าหมายเพราะบริษัทนี้มีลูกค้าวัยเรียนอยู่หลายล้านราย
แถมบริษัทนี้ยังมีผู้บริหารเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งที่ได้รับการยอมรับจากสื่อ การซื้อ Frank ก็จะสามารถดึงเธอให้เข้ามาช่วยงานธนาคารทำธุรกิจให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นได้ด้วย
คิดได้เช่นนั้น ในเดือน “กันยายน 2021” JPMorgan Chase ตัดสินใจเสนอซื้อ Frank ด้วยเงินมูลค่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 6,000 ล้านบาท โดย Charlie ผู้ก่อตั้ง Frank ได้เงิน 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 720 ล้านบาทจากการขายหุ้นของเธอเอง ส่วนเงินส่วนที่เหลือถูกจ่ายให้กับนักลงทุนที่ลงทุนที่มาลงทุนใน Frank ไปก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ Charlie ยังได้รับตำแหน่ง Managing Director ที่ JPMorgan Chase รับหน้าที่ดูแลผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับนักศึกษาพร้อมกับรับเงินค่าจ้าง 300,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีหรือเกือบ 1 ล้านบาทต่อเดือน บวกกับโบนัสอีก 20 ล้านดอลลาร์หรือราว 682 ล้านบาทต่อปีด้วย
เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงอย่างสวยงาม Charlie ส่ง Frank ที่เธอปลุกปั้นถึงฝั่งฝัน จากบริษัทเล็กๆเติบโตไปอยู่ใต้ร่มของธนาคารระดับโลก ส่วนเธอเองก็ได้รับเงินก้อนโตพร้อมตำแหน่งงานที่จะทำให้เธอภูมิใจไปทั้งชีวิต
เรื่องราวดูไม่น่าจะมีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเรื่องราวหลังจากนี้จะทำให้ชีวิตของ Charlie เหมือนกับตกจากสวรรค์ร่วงสู่นรกเลยก็ว่าได้
โป๊ะแตกเมื่อ Email ไปไม่ถึง
JPMorgan Chase เมื่อซื้อ Frank มาแล้วก็พร้อมที่จะใช้ประโยชน์จาก Data ข้อมูลลูกค้า 4 ล้านคนเหล่านั้นทันที โดยฝ่าย Marketing มีการทดสอบส่ง Email Marketing ไปยังลูกค้าของ Frank จำนวนหนึ่ง
แล้วเรื่องก็มา “โป๊ะแตก” ตรงนี้เมื่อ JPMorgan Chase พบว่า Email ที่ส่งออกไปไปถึงลูกค้า 400,000 รายมีเพียงแค่ 28% เท่านั้นที่ส่งถึง นอกนั้นเด้งกลับทั้งหมด และในจำนวน Email ที่ส่งไปถึงมีคนแค่ 100 คนเท่านั้นที่ “คลิก” เข้ามาที่เว็บไซต์ของ JPMorgan Chase
สำหรับฝ่าย Marketing ของ JPMorgan Chase นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และก็เริ่มสงสัยแล้วว่าข้อมูล User ของ Frank นั้นมีปัญหาและอาจเป็นข้อมูลปลอมแทบทั้งหมด
นั่นจึงทำให้ JPMorgan Chase เริ่มตรวจสอบอย่างจริงจังทันที เริ่มตั้งแต่ตรวจสอบข้อมูลภายในของ Frank ย้อนไปตั้งแต่ Email เก่าๆ Chat สนทนาใน Slack เอกสารหลักฐานทั้งหมดของ Frank ตั้งแต่ตั้งบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
JPMorgan Chase สืบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์มารวบรวมหลักฐาน มีการเรียกสืบสวนพนักงานของ Frank ทุกคนอย่างละเอียด
โดยเฉพาะ Olivier Amar ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Growth Officer ของ Frank ออกมายอมรับว่า Charlie Javice เป็นคนสั่งการให้ปลอมแปลงข้อมูลลูกค้าให้มีจำนวนมากกว่าความเป็นจริงไปเยอะมากๆ
มากแค่ไหนก็ต้องบอกว่าจากที่มีอยู่ราวๆ 3 แสนคน กลับดันให้เพิ่มขึ้นไปเป็น 4.25 ล้านคนเลยทีเดียว
เมื่อเรื่องแดง JPMorgan Chase ก็ไล่ Charlie ออกจากตำแหน่งทันที สั่งปิด Frank และฟ้องร้อง Charlie ฐานฉ้อโกง และอาจต้องโทษจำคุกนานถึง 100 ปี
เกิดคำถามแน่นอนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ธนาคารใหญ่ระดับโลกทำไมถึงหลงเชื่อ ไม่มีการตรวจสอบก่อนหรือ หรือถ้ามีการตรวจสอบจริงแล้ว Charlie ทำอย่างไรให้เล็ดลอดสายตาการตรวจสอบไปได้
ปลอม Data ยังไงให้เนียน
แน่นอนว่าในการดีลซึ้อ Frank ธนาคารอย่าง JPMorgan Chase ที่มีประสบการณ์ในการควบรวม รวมไปถึงซื้อกิจการบริษัทระดับเซียน ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนจ่ายเงินอย่างแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดข้อคือการยืนยันความถูกต้องของจำนวนลูกค้าหรือ User จริงๆของ Frank จำนวน 4.25 ล้านคนนั้นว่าเป็นของจริงหรือไม่ ซึ่ง JPMorgan Chase ก็ยืนยันว่าได้พยายามตรวจสอบแล้วจริงๆ
JPMorgan Chase บอกว่าได้ร้องขอตรวจสอบข้อมูล User จำนวน 4.25 ล้านราย ของ Frank แล้วแต่ Charlie บ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าการให้ไฟล์รายละเอียด User ของ Frank กับ JPMorgan Chase จะเป็นการละเมิด Privacy หรือข้อมูลที่เป็นส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ Frank ยึดมั่นสุดๆ
ด้าน JPMorgan ก็บอกว่างั้นก็ไม่เป็นไร เรามีบริษัท Third Party ช่วยยืนยันข้อมูลที่มีชื่อว่า Axiom ที่จะช่วย Verified ข้อมูลเหล่านั้นให้ว่าถูกต้องโดยที่ Charlie ยังไม่ต้องส่งข้อมูลเหล่านั้นให้ JPMorgan Chase โดยตรง
Synthetic Data ข้อมูลสังเคราะห์
จากคำให้การของ JPMorgan Chase บอกว่าหลังจาก Charlie พยายามขอให้คนใน Frank ช่วยสร้างข้อมูล User ปลอมๆให้ครบ 4.25 ล้านคนแล้วแต่เค้าไม่ร่วมมือด้วย
Charlie จึงไปควานหาคนที่จะทำงานนี้ให้เธอได้ และก็ไปพบกับอาจารย์ด้าน Data Science ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่รับทำงานเกี่ยวกับ Data Science อยู่แบบ Freelance
Charlie ติดต่อไปยัง “อาจารย์” คนนี้พร้อมกับส่งข้อมูล User จริงๆของ Frank ไปให้ โดยข้อมูลมีตั้งแต่ ชื่อ นามสกุล อายุ email มหาวิทยาลัยที่เรียน รวมไปถึงที่อยู่และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
“บรีฟที่ 1” จาก Charlie ถึง “อาจารย์” ก็คือให้สร้างข้อมูล User แบบนี้อีกหลายล้านคนให้ที โดยใช้ Synthetic Data หรือ “ข้อมูลสังเคราะห์”
ในวงการ Data Science การสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาด้วย “Synthetic Data” ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรโดยเฉพาะในวงการนักพัฒนา (Developter) เพราะก่อนที่จะปล่อยแอปพลิเคชั่นออกไปเค้าก็จะใช้ “Synthetic Data” นี่แหละมาจำลองการใช้งานจาก User เพื่อทดสอบระบบได้ว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
หรือแม้แต่วงการ AI ในปัจจุบันเองก็ใช้ Synthetic Data มาใช้ในการฝึก AI ให้ฉลาดมากขึ้น โดยไม่ต้องกวาดหาข้อมูลของจริงที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ตให้เสียเวลา
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นกับ Charlie อีกเมื่อ Synthetic Data ที่นำมาใช้ทดสอบแอปพลิเคชั่นก่อนใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องดู “เหมือนจริง” ก็ได้ แต่สิ่งนี้ “จำเป็นมากๆ” สำหรับ Charlie
“บรีฟที่ 2” จาก Charlie จึงเกิดขึ้นนั่นก็คือ Synthetic Data เหล่านี้ต้องดู “เหมือนจริง” ด้วย เบอร์โทรซ้ำกันได้ไม่เกิน 5% แต่ชื่อมหาวิทยาลัยต้องมีอยู่จริง เช่นเดียวกับ email address ที่ก็ต้องเหมือนจริงด้วยเช่นกัน
Unique ID สุ่มเลขหลอกตา

มาถึงจุดนี้ Charlie เจอปัญหาอีกครั้งเมื่อเธอฉุกคิดได้ว่า ถ้าบริษัท Axiom ลองส่ง Email ดูแล้วส่งไม่ไป คราวนี้ก็โป๊ะแตกกันหมด เธอจึงปิ๊งไอเดีย และบอกให้ “อาจารย์” ใส่ Unique ID เข้าไปแทน
Unique ID หรือ Unique Identifier เป็นตัวเลขแบบสุ่มที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็น เลขบนบาร์โค้ด เลขรหัสพัสดุ ตัวเลขที่สามารถทำให้เรา Identify ได้ว่าของชิ้นนั้นมาจากไหนและจะไปส่งที่ไหน
Unique ID ยังใช้ในการปกปิดข้อมูลที่มี “ความเป็นส่วนตัว” ด้วย เช่น ข้อมูลผู้ป่วยที่ใช้ในการศึกษาวิจัยจะมีการใช้ Unique ID ปกปิดชื่อ นามสกุล และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของคนไข้เอาไว้ แต่จะสามารถ Identify ได้ว่าคนไข้เป็นใครได้ที่ต้นทางเมื่อมีการถอดรหัสออกมา
“บรีฟที่ 3” ของ Charlie ก็คือใส่ Unique ID เข้าไปในข้อมูล email รวมถึงที่อยู่ให้หมด มีการให้ระบุรายละเอียดในใบเสร็จรับเงินว่าเป็นค่าจ้างงาน “วิเคราะห์ข้อมูล” เป็นอันเสร็จ
หลังจากได้ไฟล์ข้อมูล User ปลอมๆมาแล้ว Charlie ก็ส่งไฟล์นี้ให้ Axiom ทันที จากนั้น Axiom ก็ตอบกลับมาพร้อมกับรายงานการวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากนั้น 8 นาที Charlie ก็ Forword Mail ต่อให้กับ JPMorgan Chase ทันทีแบบไม่ได้ตรวจสอบอะไร และอีก 4 นาทีต่อมา Charlie ก็ตอบกลับไปขอให้ Axiom ลบข้อมูลของเธอทิ้งทั้งหมด
แน่นอนว่า รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลของ Axiom นั้นบอกว่าทุกอย่างถูกต้องเพราะอีก 3 วันต่อมา Charlie ก็ปิดดีลได้สำเร็จด้วยเงินมูลค่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เสิร์ช Google หา Data เพิ่ม
แม้จะรอดตัวมาจาก Axiom ได้อย่างน่าแปลก แต่ Charlie ยังมีอีกด่านเพราะคราวนี้ต้องส่งไฟล์ข้อมูล User ของจริงให้ JPMorgan Chase จริงๆ แล้ว
JPMorgan Chase ขอไฟล์ในเมล์ที่ Charlie ส่งให้ Axiom แต่คราวนี้ Charlie บ่ายเบี่ยงไปอีกอ้างว่ากำลังหัวหมุนกับการแก้ Bug ในแอปพลิเคชั่น Frank ที่น่าจะไม่มีอยู่จริง
Charlie ซื้อเวลาต่อได้ และคราวนี้เอาตัวรอดไปด้วยวิธีง่ายๆเลยก็คือ ซื้อข้อมูลจากบริษัท Marketing ที่ค้นเจอผ่าน Google มาซะเลยดื้อๆจำนวนหลายล้านราย
JPMorgan Chase บอกว่าคนที่ซื้อข้อมูลนี้ก็คือ Amar ผู้ร่วมก่อตั้ง Frank แถมยังใช้บัตรเครดิตของบริษัทรูดซื้อข้อมูลเหล่านี้มาในราคา 105,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราวๆ 3.5 ล้านบาท
เรียกว่า JPMorgan Chase เสียเงินซ้ำซ้อนนอกจากซื้อ Frank มาแล้วยังต้องซื้อข้อมูลปลอมๆมาอีกผ่าน Frank เรียกว่าเสียเหลี่ยมแบบสุดๆ และนั่นทำให้ JPMorgan Chase ตัดสินใจสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีอย่างจริงจังในที่สุด
สัญญาณเตือนที่ไม่มีใครสนใจ
เรื่องนี้มีสัญญาณเตือนมากมายตลอดชีวิตการทำธุรกิจของ Charlie ที่ว่ากันตามตรงว่าหากตั้งใจค้นก็จะเจอเรื่องแปลกๆตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น “PoverUp” คือธุรกิจ เธอบอกว่า ได้แรงบันดาลใจจากการได้ไปเห็นคนจนในประเทศกำลังพัฒนาอย่าง “ประเทศไทย”
ไอเดียธุรกิจง่ายๆเลยก็คือ เมื่อคนจนไม่มีเงินก็ปล่อยกู้ให้เค้าไปทำธุรกิจสร้างความร่ำรวยต่อไปได้ แต่โมเดลนี้เธอกลับโฆษณาในฐานะบริษัทที่ช่วยเหลือผู้คนราวกับมูลนิธิ
ไม่มีใครรู้ว่าโมเดลธุรกิจของ POVERUP ทำได้จริงหรือไม่และทำเงินได้บ้างไหม แต่ในที่สุด POVERUP ก็ไปไม่รอดและปิดตัวลงในที่สุด
ไม่เท่านั้น เธอยังตั้งบริษัท “tapd” หรือแทป เป็นอีกโมเดลสตาร์ทอัพของเธอที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงทุนการศึกษาในสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้นด้วยการคำนวน FICO Score แบบใหม่
ธุรกิจนี้ก็ไปไม่รอดอีกเพราะไม่ศึกษาข้อกฎหมายให้ดี แถมยังมีปัญหาโดนพนักงานฟ้องร้องเพราะบริหารไม่ดีจนไม่จ่ายค่าจ้าง สุดท้ายศาลตัดสินให้เธอต้องจ่ายค่าเสียหายไปอีกเป็นเงินมหาศาล
ส่วน Frank เองก็มีสัญญาณเตือนมากมายตั้งแต่ก่อน JPMorgan จะซื้อในปี 2021 มีหลักฐาน Chat ของ Charlie ที่คุยกับพนักงานให้เปลี่ยนตัวเลขจำนวน User ของ Frank ในเว็บไซต์จาก 350,000 คนเป็น 4.25 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนที่จะปิดดีลกับ JPMorgan Chase
การเปลี่ยนตัวเลขนี้ของ Charlie ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ข้อมูลถูกต้องกับความเป็นจริง แต่จริงๆแล้วเธออยากให้ข้อมูลในเว็บไซต์ตรงกับข้อมูล Pitch Deck ที่เธอใช้ในการนำเสนอขอการลงทุนจาก JPMorgan ต่างหาก
ไม่ได้มีแค่ตัวเลข User ที่ถูกปรับแต่งแต่รวมไปถึงตัวเลขงบประมาณบริษัทก็ถูก Charlie ปรับแต่งตัวเลขด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ข้ออ้างที่เธอบอกว่า Frank ให้ความสำคัญกับเรื่อง Privacy ของข้อมูลก็ไม่จริง เพราะเงื่อนไขของ Frank จริงๆแล้วก็ไม่ได้สนใจเรื่อง Privacy ขนาดนั้น ซึ่งแน่นอนว่า JPMorgan Chase ไม่ได้เข้าไปดูลึกขนาดนั้นในตอนที่จะตัดสินใจซื้อ
บทสัมภาษณ์ของ Chalie หลายครั้งก็ดูจะมีปัญหา เธออ้างว่าเธอมีประสบการณ์เลวร้ายกับการหาค่าเล่าเรียนจนกลายมาเป็นไอเดียธุรกิจทั้งที่จริงๆแล้ว เธอมีพ่อแม่ฐานะดีที่จ่ายค่าเทอมหลายหมื่นดอลลาร์ได้สบายๆมาตลอด
ด้วยโปรไฟล์ บุคลิก วิธีการพูดที่น่าดึงดูดต่างทำให้คนไม่สังเกตเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ รวมไปถึงสื่อใหญ่ๆที่ให้พื้นที่เธอได้สร้างโปรไฟล์จนสุดท้าย JPMorgan Chase ก็ตกเป็นเหยื่อของเธอในที่สุด
คดีความที่ยังไม่จบสิ้น
คดีความเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2022 โดย JPMorgan Chase ฟ้องร้อง Charlie ในข้อหาฉ้อโกง จากการจงใจปกปิดข้อมูลผู้ใช้งาน หลอกลวงให้ธนาคารซื้อกิจการในราคาสูงเกินจริง ปกปิดข้อมูลที่แท้จริงระหว่างซื้อขาย และยืนยันว่า ธนาคารตรวจสอบสถานะทางการเงินอย่างรอบคอบแล้วแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการซื้อขาย
แน่นอนว่า Charlie Javice ก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอ “ฟ้องกลับ” JPMorgan Chase เช่นกันอ้างว่า คดีความนั้นเป็นการจงใจกลั่นแกล้ง และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ให้เงินโบนัสกับเธอ
เธออ้างอีกว่า JPMorgan Chase รู้สึกว่า Frank ไม่คุ้มเงินลงทุนเพราะมีการเปลี่ยนกฎระเบียบที่ทำให้ Frank มีมูลค่าลดลง ส่วนเรื่องจำนวน User เธออ้างว่า JPMorgan รู้จำนวนผู้ใช้งานจริงอยู่แล้ว และเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ตรวจสอบสถานะของ Frank อย่างละเอียดรอบคอบเอง
ในปี 2023 อัยการสหรัฐตั้งข้อหา Charlie อย่างเป็นทางการในข้อหาฉ้อโกงทั้งหมด 4 กระทงความผิดด้วยกันและหากตัดสินว่าเธอมีความผิดจริงอาจทำให้เธอต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 100 ปีเลยทีเดียว
บทเรียนธุรกิจจากคดี Charlie Javice
เรื่องราวทั้งหมดเรียกว่าเป็นบทเรียนธุรกิจได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะการตรวจสอบสถานะทางการเงิน (due diligence) ที่สำคัญมากๆในการทำธุรกิจ
ในขณะที่ เรื่องของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าคุณจะสร้างภาพให้ดูดีแค่ไหน มันก็จะเป็น เป็นเพียงภาพลวงตาที่อาจได้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่ระยะยาวความจริงก็ต้องเปิดเผยออกมาไม่ช้าก็เร็ว
เรื่องราวนี้ดูเหมือนว่า Charlie จะเชื่อในวิธีคิดที่ว่า “Fake it till you make it” แนวคิดที่อาจเป็นประโยชน์ในการสร้างความมั่นใจ แต่เธอกลับใช้มันไปกับการหลอกลวง เป็นการ “Fake it” แบบผิดๆ จนทำให้ชีวิตอาจต้องไปจบลงที่เรือนจำ