รู้จัก De-Influencing เทรนด์ใหม่ในกลุ่ม Influencer สื่อสารด้วยคำว่า “อย่าซื้อ” สร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มคนรุ่นใหม่

  • 71
  •  
  •  
  •  
  •  

เคยเป็นบ้างไหมที่บางครั้งที่เราติดตามชมคอนเทนต์ของ Influencer หรือครีเอเตอร์จำนวนหนึ่งแล้วพบกับการโฆษณาสินค้าที่มาจนเกินไปแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย การพบกับเสียงเชิญชวนแบบ “ของมันต้องมี” สิ่งนี้หลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ “ลัทธิบริโภคนิยม” โน้มน้าวให้เราจ่ายเงินซื้อของที่บางครั้งอาจไม่จำเป็นกับชีวิต สิ่งนี้ทำให้เกิดเทรนด์ที่เรียกว่า “De-Influencing” ที่กำลังกลายเป็นกระแสในกลุ่ม Influencer โดยเฉพาะในโลก TikTok ที่พยายามจุดประกายให้ทุกคน “ฉุกคิด” กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรา ชวนให้เรามีพฤติกรรมการบริโภคที่ยั่งยืนมากกว่าที่เคย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ แทนที่บรรดา Influencer จะพยายามโน้มน้าวให้ผู้ติดตามซื้อเครื่องสำอาง หรือสินค้าใหม่ๆที่ออกสู่ตลาด แต่ Influencer ใน TikTok จำนวนกลุ่มนี้กลับเตือนให้ผู้ติดตาม “คิดก่อนที่จะซื้อ” สินค้าที่อยู่ในวงจรแฟชั่นที่มาไวไปไวเหล่านี้แทน

การ De-influencing หรือการที่ Influencer พยายามบอกกับผู้ติดตามว่า “อย่าซื้อ” ผ่านทางโซเชียลมีเดีย เป็นการสร้าง “การมีส่วนร่วมอย่างจริงใจ” ที่เวลานี้กำลังเป็นเทรนด์ที่ผู้ชมโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่กำลังชื่นชอบ และกระแสนี้พิสูจน์ได้จากแฮชแท็ก #deinfluencing ในแอปพลิเคชั่น TikTok ที่เวลานี้มียอดวิวพุ่งไปถึง 282 ล้านวิวแล้ว

ยกตัวอย่าง influencer ชื่อดังอย่าง @prouddevakula อินฟลูฯคนไทยชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากถึงเกือบ 1 ล้าน follower ใน TikTok ก็ทำคลิป deinfluencing ในหัวข้อ เครื่องสำอางที่ไม่ต้องซื้อ ซึ่งคลิปนี้ก็มีผู้ชมมากกว่า 7 แสนวิวแล้วเช่นกัน

@prouddevakula deinfluencing เครื่องสำอาง 💸 #tiktoklooks ♬ original sound – Proud Devakula (พราว)

แนวคิดในเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความรู้สึกของผู้บริโภคจำนวนมากที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับ micro-trend และบรรดาแฟชั่นที่มาไวไปไว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหันกลับมามองที่เงินในกระเป๋าที่อาจไม่เพียงพอกับการใช้จ่าย และด้วยแนวคิดนี้ Influencer บางคนจึงปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอเป็นการบอกเล่าถึง “สินค้าต่างๆที่ไม่จำเป็นต้องซื้อและบอกเหตุผลอย่างจริงใจ” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ติดตามจำนวนมาก

วิธีการปรับเปลี่ยนทิศทางการเล่าเรื่องด้วยการรีวิวสินค้าที่จริงใจ บวกกับการใส่มุมมองส่วนตัวเข้าไปช่วยให้วิธีการ De-Influencing นี้ถูกมองว่าเป็นอีกวิธีการสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในตัว Influencer ให้เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ติดตามได้เป็นอย่างดี

Jay Richards ผู้ร่วมก่อตั้ง Imagen Insignts บริษัทวิจัยตลาดให้ความเห็นกับ Wundeman Thompson Intelligence เกี่ยวกับมุมมองของกลุ่ม Gen Z ที่มีต่อแนวคิดบริโภคนิยม หรือการอุปโภคบริโภคที่มากจนเกินไปว่า ในเวลาที่โลกกำลังเจอกับวิกฤตค่าครองชีพ กลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มประชากรที่ต้องการมีตัวแทนและมีคุณค่าที่เชื่อมโยงถึงกันได้อย่างถูกต้อง สำหรับกลุ่มวัยรุ่นในเวลานี้ เรื่องของการที่ต้องตามแฟชั่น ซื้อเครื่องสำอางหรือ โทรศัพท์รุ่นใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป และนั่นทำให้เกิดความระมัดระวังในการบริโภคมากขึ้น

@earkandetc Replying to @Samantha Bernado EP2 คสอ ตัวไหนไม่ปัง ไม่ต้องซื้อก็ได้ มาบอกต่อแล้วจ้า #deinfluencing #รีวิวบิวตี้ #tiktokบิวตี้ ♬ How`s Your Day – aAp Vision

อย่างไรก็ตามมีอีกมุมมองเกี่ยวกับเทรนด์นี้เช่นกันว่าวิธีการ De-Influencer ลักษณะนี้เองก็เป็นอีกรูปแบบของการ Influence หรือการสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ติดตามเช่นกันแม้ว่านั่นจะเป็นการสร้างอิทธิพลให้บริโภคให้น้อยลงก็ตาม และนั่นก็อาจมีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าในแต่ละแบรนด์ได้ด้วย

โดยสรุปแล้ว De-Influencing ก็เป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับ Influencer ในการนำเสนอคอนเทนต์ในรูปแบบใหม่ๆที่น่าสนใจ ที่ตรงใจผู้ชมโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความพยายามสร้างอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้าของผู้ติดตามและเพิ่มความน่าเชื่อถือกับตัว influencer ให้มีมากขึ้น แต่นั่นก็ยังมีส่วนที่ทำให้ผู้คนได้ “ฉุกคิด” ก่อนที่จะควักกระเป๋าจ่ายเงิน ไม่ตกเป็นทาสของลัทธิบริโภคนิยม ช่วยให้เกิดพฤติกรรมในการใช้จ่ายอย่างฉลาดและยั่งยืนได้นั่นเอง


  • 71
  •  
  •  
  •  
  •