ปัญหาเรื่องมิจฉาชีพหลอกหลวง ไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นคดีเฉพาะบุคคลหรือเป็นรายๆ ไป แต่ที่สำคัญเลยคือกำลังเป็นปัญหาที่กำลังเกาะกินเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทั้งนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลของ บริษัท Gogolook จำกัด ผู้พัฒนา Whoscall แอปพลิเคชันระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก และป้องกันสแปม สำหรับสมาร์ทโฟน เปิดเผยว่า มีกรณีหลอกหลวงที่ต่างกรรมต่างวาระ รวมมูลค่าความเสียหาย สะสมกว่า 53,875 ล้านบาทเลยทีเดียว
สำหรับปี 2566 คนไทยได้รับข้อความ SMS ที่เป็นข้อความสแปมและข้อความหลอกลวงเฉลี่ย 6 ใน 10 ครั้ง ของข้อความ SMS ทั้งหมดที่ได้รับ หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ซึ่งประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ติดอันดับการ ได้รับข้อความ SMS หลอกลวงสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย
โดยการหลอกลวงนั้นจะมีหลายรูปแบบ อาทิ การหลอกให้ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันปลอม เช่น ส่วนที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดคือ 27% การหลอกให้ดาวน์โหลดโปรแกรมหรือ แอปพลิเคชันที่อันตราย 20% และการหลอกให้เข้าไปที่หน้าช้อปปิ้งออนไลน์ปลอม 8% เป็นต้น
ทาง Whoscall ยังมีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถิติในปี 2566 คนไทยที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพมีถึง วันละ 217,047 ราย โดยมีคนไทยได้รับสายจากมิจฉาชีพถึง 20.8 ล้านครั้ง และถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจาก SMS มากกว่า 58.3 ล้านข้อความ ซึ่งเป็นจำนวนยอดที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่มียอดรวมของสายโทรศัพท์ หลอกลวงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22 และ ข้อความ SMS เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17 รวมมูลค่าความเสียหาย สะสมกว่า 53,875 ล้านบาท
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ เมื่อโลกเทคโนโลยีก้าวล้ำมากขึ้น พบว่า วิวัฒนาการของกลโกงการหลอกลวงที่มาถึงยุค 5.0 เป็นยุคที่มิจฉาชีพหลอกด้วย AI อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI Deep Fake ในการปลอมตัวตน หรือเก็บและนำข้อมูลส่วนตัว มาหลอกให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเราเริ่มพบเห็นการหลอกในรูปแบบโทรมาด้วยเสียงของคนที่คุ้นเคย และข้อมูลที่ระบุตัวตนถูกต้อง ซึ่งสามารถทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
ทั้งนี้ เมื่อลองติดตาม ย้อนรอย “วิวัฒนาการกลลวงมิจฉาชีพ” ตั้งแต่ยุค 1.0 – 5.0 จะพบการก้าวกระโดดของวิธีในการหลอกหลวงของแก๊งมิจฉาชีพที่ก้าวกระโดดมากขึ้น ซึ่งยิ่งจะต้องทำให้เราระแวดวงภัยร้ายนี้ทวีคูณมากยิ่งขึ้นด้วย
“วิวัฒนาการกลลวงมิจฉาชีพ” ตั้งแต่ยุค 1.0 – 5.0
ยุค 1.0 : หลอกซึ่งหน้า
ช่องทาง – เดินมาหลอกกันซึ่งหน้า
รูปแบบ – หลอกแบบตัวต่อตัว หรือ เห็นคู่สนทนาที่เป็นมิจฉาชีพด้วย
มุกที่ใช้ – มีตั้งแต่หลอกขายของตามบ้าน, ปลอมเป็นคนที่กำลังเดือดร้อน, หลอกให้ไปกด ATM หรือ หลอกให้ไปทำงานเป็นแรงงานที่ทารุณ (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ)
การเลือกเหยื่อ – จะมีความจำเพาะเจาะจงเหยื่อ, ผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง, ป้ายรถเมล์ หรือแม้แต่ชุมชนต่างจังหวัด
ยุค 2.0 : โทรมาหลอก
ช่องทาง – เริ่มมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ การเดินมาหลอก โทรมาหา และส่ง SMS
รูปแบบ – เป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะโทรหา หรือส่ง SMS หาเหยื่อ
มุกที่ใช้ – อาทิ หลอกว่าได้รับรางวัล, นำเสนอสินเชื่อประกันที่ไม่มีจริง, ปลอมเป็นหน่วยงานราชการ หลอกว่าทำผิดต้องโอนเงิน เป็นต้น
การเลือกเหยื่อ – ลักษณะการสุ่มหรือกระจายเหยื่อ (มีความกระจายวงกว้างมากขึ้น)
ยุค 3.0 : สร้างเพจหลอก
ช่องทาง – มีตั้งแต่การ โทร. ส่ง SMS และติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียรูปแบบ – พัฒนามากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนา อาทิ การสร้างเพจปลอมเพื่อหลอกขายของแต่ไม่มีสินค้าอยู่จริง, ไม่มีร้าค้าอยู่จริง หรือการสร้างตัวตนปลอมขึ้น เป็นต้น
มุกที่ใช้ – มีความหลากหลายและซับซ้อนขึ้น อาทิ ทัวร์ไฟไหม้, ของมันต้องมีโอนเลย, คนรู้จักขอความช่วยเหลือ หรือการส่งของเก็บเงินปลายทาง ฯลฯ
การเลือกเหยื่อ – กระจายวงกว้างและไปไกลมากขึ้น เนื่องจากเพิ่มช่องทางโซเชียลมีเดีย
ยุค 4.0 : หลอกแบบรู้ใจ
ช่องทาง – มีตั้งแต่การ โทร. ส่ง SMS ติดต่อผ่านโซเชียลมีเดีย และเว็บ 3.0
รูปแบบ – มีความหลากหลายและซับซ้อนขึ้น อาทิ มีการวิเคราะห์ข้อมูลของเหยื่อ, จับประเด็นความสนใจ และระบุข้อมูลส่วนตัวได้ตรงจุด
มุกที่ใช้
- สั่งของเก็บเงินปลายทางในเวลาที่ใช่กว่าเดิม
- แฮคปลอมเป็นเพื่อนที่อยู่ในชีวิตจริงมาขอยืมเงิน
- หลอกให้ลงทุนออนไลน์
- หลอกชำระเงินหน่วยราชการ
- หลอกให้คลิกอ่านต่อเรื่องที่สนใจ
การเลือกเหยื่อ – มีการเจาะจงเหยื่อที่แม่นยำขึ้นจากฐานข้อมูลที่ทำให้เข้าใจเหยื่อมาก่อน
ยุค 5.0 : หลอกด้วย AI
ช่องทาง – มีตั้งแต่การ โทร. ส่ง SMS ติดต่อผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บ 3.0 และ ใช้ AI (มีการพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยี)
รูปแบบ
- รู้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ
- ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในการปลอมตัวตน เช่น AI หรือ Deep Fake
มุกที่ใช้
- โทรมาด้วยเสียงของคนรู้จัก และข้อมูลที่ระบุตัวตนถูกต้อง
- โทรมาเก็บเสียงของเหยื่อไปใช้หลอกต่อ
การเลือกเหยื่อ – เจาะจงเหยื่อยที่แม่นยำจากฐานข้อมูลที่ได้มาก่อน และเชื่อมโยงข้อมูลจากบุคคลอ้างอิง
อย่างไรก็ตาม แม้มิจฉาชีพจะมีการพัฒนาเทคนิคหรือรูปแบบต่างๆ ให้ก้าวล้ำในการหลอกลวงมากขึ้น แต่เทคโนโลยีของการป้องกันก็พัฒนาขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ดังเช่นที่ Whoscall ได้เปิดตัวฟีเจอร์ ID Security ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าหมายเลข โทรศัพท์ของตนเอง ตกเป็นเหยื่อของเว็บมิจฉาชีพหรือไม่ ด้วยความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงทรัพยากรข้อมูล จำนวนมหาศาล และเทคโนโลยี AI อันล้ำสมัย ขณะเดียวกัน เราซึ่งเป็นประชาชนและยังจำเป็นต้องใช้งานทั้งอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ก็จำเป็นที่จะต้องอัปเดทข่าวสารอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเหล่านี้โดยง่าย