ประเด็นดราม่าการดำเนินธุรกิจของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาเดินมาสู่จุดไคลแม็กซ์แล้วในวันนี้หลังจากวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายที่จะบังคับให้บริษัท ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok จากประเทศจีนจะต้องขายกิจการ TikTok ในสหรัฐหรือไม่ก็ถูกแบนจากตลาด เป็นที่เรียบร้อยและส่งร่างกม.นี้ต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยประธานาธิบดีไบเดน แถลงว่าจะลงนามในวันที่ 25 เมษายนนี้ตามเวลาสหรัฐ
หลังจากนั้น TikTok จะมีเวลาราว 1 ปีเพื่อขายกิจการ TikTok ในสหรัฐให้เรียบร้อย แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น TikTok จะต้องถูกแบนออกไปจากตลาดในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม TikTok เองก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ซึ่งก็อาจทำให้ระยะเวลาถูกยืดออกไปด้วยเช่นกัน
ดราม่า TikTok ในสหรัฐอเมริกานั้นมีขึ้นหลังจากสมาชิกสภานิติบัญญัติและเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความกังวลว่า TikTok ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทจากประเทศจีนนั้นจะทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานชาวอเมริกันต้องตกอยู่ในความเสี่ยง และความกังวลที่เกิดขึ้นนี้ส่วนใหญ่มีเหตุผลมาจาก “กฎหมายความมั่นคง” ของรัฐบาลจีนที่สามารถสั่งการให้บริษัทที่ตั้งในประเทศจีนต้องส่งข้อมูลภายในให้กับรัฐบาลเมื่อมีการร้องขอ
ด้าน TikTok เองก็ออกมาชี้แจงว่า ByteDance มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ และไม่ได้มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกันเอาไว้ในประเทศจีน แต่ข้อโต้แย้งนี้ก็ไม่เป็นผล
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐอีกบางส่วนที่แสดงความกังวลว่ารัฐบาลจีนจะมีอิทธิพลต่อการสื่อสารหรือส่งข้อมูลไปสู่ผู้ใช้งานชาวอเมริกัน และยังบอกด้วยว่า แคมเปญของ TikTok ที่ออกมาสนับสนุนให้ผู้ใช้งานเรียกร้องให้สภาคองเกรสสหรัฐคัดค้านร่างกฎหมายนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าความกังวลในเรื่องนี้มีอยู่จริงด้วย
Maria Cantwell ประธานกรรมาธิการพาณิชย์วุฒิสภาสหรัฐเปิดเผยถึงเหตุผลในการผ่านร่างกฎหมายนี้เอาไว้ว่า “สภาคองเกรสไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อลงโทษ ByteDance , TikTok หรือ บริษัทอื่นใด แต่สภาคองเกรส ผ่านร่างกฎหมายนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูต่างชาติ ปฏิบัติการจารกรรม สอดส่อง ใส่ร้าย สร้างความเสียหายให้ชาวอเมริกัน นายทหารทั้งชายและหญิง รวมถึงข้าราชการสหรัฐ”
Mark Warner ประธานกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐบอกด้วยว่า “ข้อเท็จจริงคือ ในที่สุดแล้วบริษัทจากจีนเหล่านี้ไม่ได้มีภาระผูกพันลูกค้าหรือผู้ถือหุ้น แต่พวกเขามีภาระผูกพันกับรัฐบาลจีน และในบริบทของแพลทฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่มีชาวอเมริกันใช้งานเกือบครึ่งประเทศ มันไม่ยากที่จะจินตนาการถึงวิธีการที่แพลทฟอร์มที่สนับสนุนการค้าขายอย่างมากมาย สนับสนุนการอภิปรายทางการเมือง รวมถึงการถกเถียงกันในสังคม จะสามารถถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายของรัฐเผด็จการ โดยเฉพาะรัฐที่มีประวัติการเซ็นเซอร์ การกดปราบข้ามชาติ และการสนับสนุนข้อมูลบิดเบือนได้”
Warner บอกด้วยว่า TikTok เคยเสนอโซลูชั่นที่เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลที่เรียกว่า Project Texas มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่นั้นก็ยังไม่เพียงพอเพราะ บรรดาชุดคำสั่ง โค้ดต่างๆและกิจกรรมในการพัฒนาแพลทฟอร์มยังคงอยู่ในประเทศจีน TikTok จะยังอยู่ในความควบคุมของ ByteDace และยังคงถูกใช้โดยรัฐบาลจีนได้
Warner ยังพูดถึงความกังวลของวัยรุ่นอเมริกันที่กลัวว่า TikTok ที่ใช้งานอยู่จะถูกแบนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปิดกั้นช่องทางในการแสดงออกของชาวอเมริกันทุกคน ชาวอเมริกันโดยเฉพาะวัยรุ่นมีสิทธิที่จะกังขากับสิ่งนี้ได้ แต่พวกเข้าไม่ได้เห็นสิ่งที่สภาคองเกรสได้เห็น ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมลับที่เจาะลึกไปถึงภัยคุกคามบางอย่างจากการที่ต่างชาติควบคุม TikTok เอาไว้ในมือ อย่างไรก็ตามเราก็หวังว่า TikTok จะยังอยู่ต่อไปได้ภายใต้เจ้าของใหม่ที่เป็นชาวอเมริกันหรือคนชาติอื่นๆ
ทั้งนี้ประธานาธิบดีไบเดน ออกแถลงการณ์ว่าจะลงนามในร่างกฎหมายนี้ในวันที่ 25 เมษายนนี้ ซึ่งจะทำให้กฎหมายออกบังคับใช้ในทันที อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า TikTok เคยสื่อสารกับพนักงานเอาไว้ว่าหากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน บริษัทจะยื่นอุทธรณ์ในศาลต่อไป ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าดราม่านี้จะยืดเยื้อต่อไปอีกหรือไม่