ใกล้ช่วงปลายปีแบบนี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายแห่งออกมาคาดการณ์ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจและวิเคราะห์เทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 เพื่อให้บรรดานักการตลาดหรือแบรนด์เตรียมตัววางกลยุทธ์ล่วงหน้า ซึ่งทาง ‘ภวัต เรืองเดชวรชัย’ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI Group ก็ได้ออกมาประเมินสถานการณ์ รวมถึงเทรนด์การตลาด และปัจจัยต่าง ๆ ที่ธุรกิจต้องจับตามอง โดยมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น
เม็ดเงินโฆษณาปี 65 มีมูลค่า 84,240 ล้านบาท โต 13% ‘สื่อดิจิทัล’ ร้อนแรงไม่หยุด
เริ่มกันจากแวดวงอุตสาหกรรมโฆษณา ที่ทาง MI บอกว่า ตั้งแต่ ม.ค.-พ.ย. 2564 มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ 67,993 ล้านบาท โตขึ้น 0.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสื่อที่มีการเติบโต ได้แก่ สื่อทีวี 34,071 ล้านบาท โต 1% และสื่อดิจิทัล 21,385 ล้านบาท โต 12% ขณะที่สื่ออื่น ๆ ติดลบทั้งหมด ส่วนทั้งปีคาดว่า ตัวเลขจะปิดที่ 74,550 ล้านบาท ติดลบ 0.8%
สำหรับปี 2565 คาดการณ์จะมีเม็ดเงินโฆษณาอยู่ราว 84,240 ล้านบาท เติบโต 13% สื่อที่เติบโต ได้แก่
– สื่อทีวี’ มีการใช้เม็ดเงิน 37,369 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47.5% จากเม็ดเงินโฆษณาทั้งหมด ซึ่งถือเป็น ‘ปีแรก’ ที่สัดส่วนการใช้เม็ดเงินผ่านสื่อทีวีต่ำกว่า 50%
แม้ตอนนี้กระแส ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ และ ‘กรรชัย กำเนิดพลอย’ จะมาแรง ทางภวัตก็บอกว่า ทั้งสองคนเป็น KOL (Key Opinion Leader) ที่มีผลแน่นอนต่อรายการนั้น ๆ อย่างการ comeback ของสรยุทธ ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในรายการข่าวของช่อง 3 เติบโต แต่ก็ไม่สามารถดึงเม็ดเงินโฆษณาของสื่อทีวีในภาพรวมขึ้นมาได้มากนัก
– สื่อดิจิทัล ยังคงเติบโตร้อนแรงต่อเนื่อง โดยจะมีการใช้เม็ดเงิน 23,315 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้เพิ่มเป็น 32% จากเดิมอยู่ที่ 31.3%
“ช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้เริ่มเห็นความคึกคักของการใช้เงิน แม้จะมีโควิดไอโมครอนเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบที่เป็นนัยในเชิงตัวเลข ส่วนปีหน้าเราหวังว่า อุตสาหกรรมโฆษณาจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะโตในสองหลัก ซึ่งไม่แปลก เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาเราตกหนักมาก”
‘กระแสพิมรี่พาย’ ทำให้ ‘ไลฟ์ คอมเมิร์ซ’ แรงกว่าเดิม
สำหรับสื่อดิจิทัล กระแสการใช้ Influencer ยังแรงต่อเนื่อง โดยสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT พบว่า Influencer เป็นอันดับ 3 ที่มีการใช้เม็ดเงินโฆษณารองจากแพลตฟอร์มหลักอย่าง Facebook และ YouTube แล้ว
อีกประเด็นที่น่าจับตาในปี 2565 ก็คือ ‘ไลฟ์ คอมเมิร์ซ’ หรือการไลฟ์ขายของทางออนไลน์ ที่เชื่อว่า จะแรงกว่าเดิม จาก ‘กระแสของพิมรี่พาย’
ภวัตอธิบายว่า พิมรี่พาย มีคาแรกเตอร์ชัดเจน ใช้ความเรียล ความหยาบ เป็นจุดขาย ขณะเดียวกันก็มีการทำการตลาดที่แตกต่างและโดดเด่นมาก ซึ่งคนที่เข้าไปดูหรือติดตามเพจพิมรี่พาย จะมีด้วยกัน 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่เข้าไปดูเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก มีการซื้อของบางเล็กน้อย อีกกลุ่ม เป็นคนในธุรกิจรีเทลเข้ามาซื้อสินค้าแล้วนำไปขายต่อ
แน่นอนว่า จากกระแสความแรงของพิมรี่พายที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้เห็นการไลฟ์ คอมเมิร์ซมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้การไลฟ์ขายของออนไลน์ ถือเป็นทางรอดและมีบทบาทเป็นอย่างมากในการค้าขายยุคปัจจุบัน
เทรนด์ธุรกิจและผลกระทบที่ต้องจับตามอง
สำหรับพฤติกรรมการบริโภคสื่อ และเทรนด์ธุรกิจ รวมไปถึงผลกระทบที่ต้องจับตามองในปี 2565 ประกอบด้วย
-คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 80% ดังนั้น จึงเป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคที่นักการตลาดหรือบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ห้ามมองข้าม
-TikTok จะแรงต่อเนื่อง และสามารถขายของได้ดีขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มที่จะได้รับผลกระทบ ก็คือ Facebook และ IG เพราะถูกแย่งเวลาในการใช้ไป
-Video Ad & Live take over เน้นวีดีโอและไลฟ์สดมาแรง
– Influencer ร้อนแรง โดยเฉพาะที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน, Micro และ Nana เพราะสอดคล้องกับเครื่องมือและวิธีทางการตลาดยุคนี้
-สมาธิและความอดทนต่ำลง ต้องดึงความสนใจให้ได้ใน 2 วินาทีแรก
-มีเดีย ที่ใช้ต้องนำไปสู่ยอดขายโดยตรงและวัดผลได้
-ด้วยการแข่งขันสูง มีสื่อมากมายและหลากหลาย การจะประสบความสำเร็จทางการตลาด การสร้างสรรค์ และแตกต่างยังเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ
สำหรับปัจจัยที่ธุรกิจต้องจับตามอง หลัก ๆ นอกจากโรคระบาดที่อาจส่งผลกระทบให้ต้องปิดประเทศและฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคแล้ว ยังไม่มีอะไรน่ากังวล ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือการประท้วง เพราะเป็นเรื่องที่มีมาต่อเนื่อง