ในงาน Digital Transformation Forum 2019 ภายใต้ธีม “Surfing the Waves in Digital Transformation Era” ในช่วงปลายเมษายนที่ผ่านมา สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ขนทัพกูรูทั้งจาก Silicon Valley และเมืองไทย มาเผย Insights ที่จะเกิดขึ้นในยุคดิจิทัลถัดจากนี้ เพื่อให้ผู้นำยุคปัจจุบันเกิดการตื่นตัว เตรียมพร้อม และกลับไปต่อยอดเทคโนโลยี นวัตกรรม และแพล็ตฟอร์มดิจิทัลผ่าน Best Practice เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค “Internet of Action” ที่กำลังจะมาถึง
ภายในงาน Bradley Kreit ผู้บริหารจาก Future 50 Research สถาบันเพื่ออนาคตที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “นับจากนี้ จากยุคแห่งการหาข้อมูลหรือบริการด้านข้อมูลเท่านั้นในปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่ยุค “Internet of Action” ซึ่งเป็นโลกของอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา โดยเอาข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ มาทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่เคลื่อนตัวได้จากการกดปุ่มเล็ก ๆ เพียงปุ่มเดียว หรือการที่ Amazon ผลิตอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานกดปุ่มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ หรือทำชำระเงินออนไลน์ได้เพียงกดปุ่มเดียวและครั้งเดียวเท่านั้น จากตัวอย่างเหล่านี้ ทำให้เห็นว่า ในอนาคต เทคโนโลยีจะช่วยผู้ใช้ที่เคยทำกิจกรรมใดซ้ำ ๆ และต้องการทำอีก ให้กลายเป็นเรื่องง่าย โดยสามารถสั่งให้ทำกิจกรรมเดิม ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตได้ด้วยปุ่มเดียว และยิ่งไปกว่านั้น เราจะได้เห็นอุปกรณ์ที่อัจฉริยะมากขึ้น โดยสามารถคิดและตัดสินใจได้เอง โดยอาศัยข้อมูลที่เคยเก็บไว้ในอดีตมาช่วยวิเคราะห์ และให้เทคโนโลยีเป็นตัวสั่งการ”
“ในสหรัฐอเมริกา มีแอพพลิชันชื่อ Trim ที่ใช้ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาดูแลการต่อสัญญากับผู้ใช้บริการเคเบิลได้เอง โดยที่เจ้าของไม่ต้องเสียเวลาโทรไปต่อสัญญาเอง เพราะ AI ในแอพพลิเคชันจะตัดสินใจแทนผู้ใช้จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน” Kreit กล่าว
เพื่อให้เทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์หรือแก้ Pain Point ต่าง ๆ Kreit แนะองค์กรว่า องค์กรควรทำงานผ่านกลยุทธ์ เช่น การปรับเปลี่ยนการรับรู้ของมนุษย์ผ่านเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์เกิดแอ็คชัน เช่น การสร้างแคมเปญการตลาดผ่าน Augmented Reality (AR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำภาพเสมือนและเป็นรูป 3 มิติจำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้อง และใช้การประมวลผลที่นำวัตถุมาทับซ้อนเข้าเป็นภาพเดียวกัน ซึ่งให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้และมุ่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น
“กลยุทธ์อื่นยังรวมถึง การนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของผู้บริโภค เช่น บริษัท HapiFork ผลิตช้อนสำหรับกลุ่มคนที่ต้องการควบคุมอาหาร โดยช้อนจะสั่นเมื่อผู้ใช้กำลังรับประทานอาหารเร็วเกินไป หรือ Lift Ware ซึ่งเป็นช้อนที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันรับประทานอาหารได้เหมือนคนปกติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตมนุษย์ และกลยุทธ์ในการเข้าถึงรหัสพฤติกรรมมนุษย์ โดยนำข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้งานในอดีตมาประมวลผล เพื่อให้สามารถทำนาย หรือพยากรณ์พฤติกรรมในอนาคตของผู้ใช้ได้ เช่น บริษัท Vitality Glowcap ผลิตขวดยาอัจฉริยะที่สามารถช่วยเตือนผู้ป่วยเมื่อถึงเวลาที่ต้องทานยา นอกจากนี้ ขวดยาอัจฉริยะนี้ยังสามารถตรวจวัดดรรชนีสุขภาพและเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ยาได้ด้วย” Kreit กล่าว
ไฮไลท์ถัดมาเป็นเรื่องของ Kong Wan Long ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง JustCo สตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์ ผู้ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจ จนก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Co-working Space ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็น Co-working Space ที่รองรับกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย
Wan Long กล่าวว่า “หลังจากที่มองเห็นรูปแบบการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป จึงเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น โดยตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในสายงานดิจิทัล และเมื่อเข้าไปสัมผัส จึงทำให้เราเข้าใจและหันกลับมาปรับปรุงผังพื้นที่เช่าใหม่ให้เป็น Smart Space มากขึ้น พร้อมสร้างแรงดึงดูดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการกลับมาใช้ซ้ำ ผ่านระบบนิเวศน์ดิจิทัล”
“นอกจากนี้ เรายังออกแอพฯ JustCo เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า โดยมีฟังก์ชัน เช่น การจองห้องประชุมล่วงหน้า เช็ค Hot Desk ที่พร้อมใช้งาน เข้าถึงอีเวนท์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ และสามารถดูข้อมูลลูกค้าอื่น ๆ ได้ ว่ามีใครบ้าง ทำอะไรกันบ้าง เพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนดิจิทัล นอกจากนี้ JustCo ยังสร้างออฟฟิศเสมือนผ่าน Digital Payment Gateway เพื่อช่วยลดขั้นตอนการทำงานและลดการจ้างงานของ JustCo เองอีกด้วย” Wan Long กล่าว
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่มาช่วยสร้างสีสันให้งาน คือ ประเด็นของการริเริ่มนำเอา Digital Transformation มาใช้ โดย ดร.ฤตวีร์ มาตังคะ Project Leader จาก The Boston Consulting Group แนะ 4 เทคโนโลยีที่น่าจับตา ได้แก่ AI, Blockchain, Internet of Things และ Augmented/Virtual Reality (AR/VR) ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนโลกในอนาคต
ดร.ฤตวีร์ กล่าวว่า “การจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เข้าสู่โลกอนาคตได้จะต้องเริ่มจากผู้นำองค์กรที่จะต้องวางทิศทางให้กับองค์กรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาว่า โพซิชันขององค์กรทางดิจิทัลควรจะอยู่ตรงจุดไหน เพื่อที่จะได้รู้ว่า จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลอะไรมาสนับสนุนได้บ้าง”
“หัวใจสำคัญที่จะทำให้องค์กรทำ Digital Transformation สำเร็จคือ ใช้คุณค่าเป็นตัวนำในการเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก นั่นหมายความว่า องค์กรต้องเข้าใจ Core Business ของตนเองว่าคืออะไร หา Pain Point ที่แท้จริงเพื่อจะได้ระบุเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแก้ปัญหาได้ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังต้องมาช่วยเสริมในเรื่องของช่องทางธุรกิจใหม่ ๆ หรือพัฒนากระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และควรนำเทคโนโลยีที่หลากหลายมาใช้เสริมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
นอกจากนี้ ในช่วง Panel Discussion หัวข้อ Digital Transformation Journey for Smart Living ยังแนะอีกว่า ในปัจจุบันเกิดเทคโนโลยีขึ้นมากมาย ทั้งนี้ แต่ละเทคโนโลยีก็ยังมีข้อจำกัด ดังนั้น เทรนด์ในอนาคตที่จะได้เห็น และการที่จะอยู่รอดได้และให้ธุรกิจเติบโตได้ องค์กรจะต้องนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้โดยเน้นให้ช่วยเสริมกัน สร้างนวัตกรรมที่เน้นให้เกิดคุณค่า รวมไปถึงเน้นให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น หรือเน้นให้มนุษย์ควบคุมเทคโนโลยี โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเป็นหลัก
และในเกือบช่วงท้ายของงาน Professor Mikolaj Jan Piskorski ผู้อำนวยการจาก Digital Business Excellence และ Co-director จาก Leading Digital Transformation Program International Institute for Management Development (IMD) แนะในเรื่องของเครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรเกิดการขับเคลื่อน Digital Transformation สำหรับองค์กรในยุคดิจิทัลให้สำเร็จ ว่า “องค์กรจะทำ Digital Transformation ให้ประสบความสำเร็จได้จะต้องประกอบไปด้วย กลยุทธ์ที่ใช่ การทำ Transformation ได้เร็วเต็มที่ การมีการออกแบบองค์กรที่ถูกต้อง มีบุคคลากรที่เหมาะ และที่สำคัญ วัฒนธรรมองค์กรจะต้องเหมาะเพื่อทำการ Digital Transformation ด้วย”
Copyright @ Marketing Oops!