ก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร เมื่อสตาร์ทอัพอาเซียนมาถึงทางตันในปี 2019

  • 123
  •  
  •  
  •  
  •  

ภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบันคล้ายกับจีนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลุ่มชนชั้นกลางเติบโตขึ้น มีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น ที่สำคัญ สตาร์ทอัพในแบบเศรษฐกิจชนชั้นกลางก็กำลังเติบโตอย่างเห็นได้ชัด และการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคแบบก้าวกระโดดมาจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามกันว่า การเติบโตนี้จะสิ้นสุดที่ตรงไหนและเมื่อไร ตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มจะเติบโตแบบไม่หยุดจะสามารถเติบโตในระดับโลกเป็นเป้าต่อไปได้หรือไม่

แม้ประชาคมอาเซียนตั้งเป้าว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลกให้ได้ในปี 2020 แต่นักวิเคราะห์มองว่า การเติบโตของภูมิภาคอาจมาถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว และได้เวลาที่ต้องไปต่ออีก

ตลาดอาเซียนทุกวันนี้เป็นบ้านหลังใหญ่ของสตาร์ทอัพแบบยูนิคอร์นหลายแห่ง หนึ่งในนั้นได้แก่ Grab บริษัทที่ให้บริการเรียกรถโดยสารไม่ว่าจะเป็นรถส่วนบุคคลหรือรถแท็กซี่ สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าพันล้านเหล่านี้ตั้งเป้าขยายตลาดออกนอกบ้านเกิด ในขณะเดียวกันก็ยังทำรายได้ให้กับภูมิภาคต่อไปในอนาคต

startup-asean
ก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร เมื่อสตาร์ทอาเซียนมาถึงทางตันในปี 2019

 

ยิ่งหลากหลาย ยิ่งได้เปรียบ

การมีคู่แข่งมาก สตาร์ทอัพจะมีโอกาสได้ปรับปรุงคุณภาพของตัวเอง และยิ่งตลาดมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมและอื่น ๆ ด้วยแล้ว เช่น ในอินโดนีเซีย ที่มีภาษาที่ใช้กันถึง 700 ภาษา และในกลุ่มประเทศอาเซียนมีวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่าง ก็ช่วยให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้เรียนรู้ตลาดที่แตกต่างกัน และพร้อมที่โบยบินออกไปเติบโตนอกตลาดภูมิภาคได้ไม่ยาก

ความหลากหลายในด้านประชากรศาสตร์และความเป็นเมืองหลวงในภูมิภาคให้ประสบการณ์ที่ดีแก่สตาร์ทอัพ ดูอย่างสิงคโปร์เป็นต้น มีประชากรราว 5 ล้านคน บนเกาะเล็ก ๆ ขนาด 278 ตารางไมล์แต่มีความเป็นชุมชนเมืองสูง ในทางกลับกัน ประชากรครึ่งหนึ่งของอินโดนีเซียอยู่ในพื้นที่ชนบท มีเมืองหลักอยู่ 2 แห่งในพื้นที่รวมกัน 735,400 ตารางไมล์

นอกจากนี้ ความหลากหลายในแง่ของกำลังซื้อและพฤติกรรมผู้บริโภคในภูมิภาคก็เป็นตัวทดสอบที่ดีให้กับสตาร์ทอัพ ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP)ของสิงคโปร์นั้นสูงกว่าของอินโดนีเซีย 9 เท่า และสูงกว่าเวียดนาม 24 เท่า และสูงกว่าพม่า 44 เท่า สตาร์ทอัพที่จะเข้ามาเจาะแต่ละตลาดจะต้องศึกษาให้ดีว่า กำลังซื้อสินค้าและบริการของตัวเองในแต่ละประเทศในภูมิภาคมีมากแค่ไหน

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในอาเซียนก็หลากหลาย ปัจจุบัน ประชากรในลาวแค่ 23%เท่านั้นที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ในสิงคโปร์ คนที่ใช้อินเทอร์เน็ตมีสูงถึง 80%สตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจผ่านสมาร์ทโฟนและต้องการขยายตลาดก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของแต่ละตลาดเป็นอย่างดี รวมไปถึง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่จะขายในภูมิภาค กลยุทธ์การขายและการตลาด เพื่อเจาะในแต่ละตลาดที่แตกต่าง

แม้ความท้าทายมีมากในตลาดที่มีความหลากหลายสูง แต่สตาร์ทน้องใหม่อย่าง Go-Jekก็สร้างความสำเร็จและเป็นตัวอย่างของความหวังที่จะตีตลาดที่หลากหลายนี้ให้แก่สตาร์ทอัพรายอื่น ๆ โมเดลธุรกิจของ Go-Jekประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามตั้งแต่ในบ้าน เพราะตอบโจทย์เรื่องการเดินทางของผู้คนที่ต้องทนรับกับสภาพจราจรที่ย่ำแย่ และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ดี และความสำเร็จของ Go-Jekกระจายไปทั่วภูมิภาคในปัจจุบัน

อีกตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จอีกเจ้าคือ คือ Travelokaซึ่งก็ไปไกลนอกภูมิภาค โดยได้รับอานิสงส์จากเงินทุนก้อนใหญ่จาก Expediaมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

เมื่อกองทัพบัณฑิตจบนอกพากันกลับบ้านเกิด

ในช่วงปี 2000 ตลาดสตาร์ทอัพในจีนยังเป็นอะไรที่ใหม่มาก แต่เมื่อเหล่าบัณฑิตจบนอกที่เคยตั้งรกรากในต่างประเทศหลังเรียนจบแล้วกลับบ้านเกิดมาเริ่มธุรกิจของตัวเอง ก็เริ่มทำให้เศรษฐกิจจีนเปลี่ยนไปในทางที่ดี

ทุกวันนี้ เศรษฐกิจชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศอาเซียนก็กำลังดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ที่ไปเรียนต่างประเทศกลับบ้านเกิด และเทรนด์นี้มีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจแบบสตาร์ทอัพขยายตัวขึ้นในอาเซียนเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในบรรดาผู้มีสัญชาติสิงคโปร์ 100 คน จะมี 6 คนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และญี่ปุ่น

รายงานล่าสุดของ Robert Waltersระบุว่า 82% ของชาวสิงคโปร์ที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศจะยอมกลับบ้านหากมีข้อเสนอและโอกาสดี ๆ ให้พวกเขา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเมื่อ Google และ Alibabaเข้ามาเปิดออฟฟิศในสิงคโปร์ก็ได้เวลาที่บรรดานักพัฒนาแอพพลิเคชันและวิศวกรซอฟต์แวร์สัญชาติสิงคโปร์พากันแห่กลับบ้าน

คนอาเซียนที่ออกไปชุบตัวในต่างประเทศเป็นเวลาซักพักเหล่านี้ ปัจจุบัน มีบทบาทสำคัญในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก เช่น ทีมก่อตั้ง Go-Jek, Grabและ Travelokaก็เป็นทีมจบต่างประเทศทั้งสิ้น และมุมมองผนวกกับประสบการณ์ของคนเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก เมื่อต้องขยายกิจการสู่ตลาดต่างประเทศ

 

นวัตกรรมช่วยแก้ปัญหาบางอย่างในบ้านเกิดได้

แม้อาเซียนจะเติบโตเร็วมาก ระบบบางอย่างก็ไร้ประสิทธิภาพ และทำให้การเติบโตในบางภาคส่วนช้าไปด้วย เช่น ประชากรอาเซียนกว่า 400 ล้านคนยังไม่มีบัญชีธนาคาร แต่นวัตกรรมก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เช่น Grab, Go-Jekและ DHLเปิดตัวบริการทางการเงินให้กับคนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร และตามมาด้วยแอพพลิเคชันทางการเงินมากมายเพื่อขยายฐานลูกค้า

ธนาคารในหลายประเทศในอาเซียนก็ไม่สามารถปล่อยกู้ได้ เพราะไม่มีข้อมูลของผู้กู้ที่เพียงพอไว้ใช้ในการตัดสินใจปล่อยกู้ ผลก็คือ ทำให้เกิดการกู้เงินนอกระบบ และตามมาด้วยการทวงหนี้ที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ดังจะเห็นได้บ่อยจากสื่อต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน รายงานจากเครดิตสวิสในเดือนตุลาคม 2017 ระบุว่า กว่าหนึ่งในสามของประชากรในประเทศไทยขาดคุณสมบัติในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน จนนำมาสู่การกู้เงินนอกระบบที่มีมูลค่าสูงถึง 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อระบุปัญหาได้ตรงเป้า นวัตกรรมที่จะนำมาแก้โจทย์นี้จึงเข้ามา สถาบันการเงินบางแห่งปล่อยกู้ผ่านระบบการค้ำประกันด้วยเครือข่าย (P2P)และธนาคารใหญ่ ๆ บางแห่งก็ใช้ข้อมูลการให้คะแนนเครดิตเพื่อเป็นข้อมูลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ มีข้อมูลเพียงพอที่ช่วยในการตัดสินก่อนปล่อยกู้ ในสิงคโปร์เองมีสตาร์ทอัพชื่อ Funding Societies ออกแพล็ตฟอร์มการกู้ยืมเงินด้วยระบบค้ำประกันด้วยเครือข่าย โดยได้งบประมาณจากการระดมทุนราว 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงการระดมทุนซีรีย์ Bสตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์นี้ยังสามารถเพิ่มฐานลูกค้าในระบบกู้ยืมอีกกว่า 60,000 ราย

สถาบันการเงินขนาด SMEก็ให้บริการทางด้านการเงินต่าง ๆ กับบริษัทที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน เช่น Finaxarช่วยให้ธุรกิจขาดเล็กได้รับเงินสนับสนุนและทางเลือกด้านเครดิต ที่ผูกกับแพล็ตฟอร์มทางบัญชีคลาวด์ นอกจากนี้ ยังมีการนำเอา AIเข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้านการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านการเงิน โดยช่วยปลดล็อคธุรกรรมทางการเงินและสร้างผลกำไรให้ตลาดเงินกว่า 311 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ก้าวต่อไปของสตาร์ทอัพอาเซียน

หลายปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์มองว่า การเติบโตในภูมิภาคมาถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว และสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และทักษะที่แข็งแกร่งและพร้อมขยายตัวออกไปยังตลาดโลก

การไหลบ่ากลับบ้านเกิดของบรรดานักเรียนนอกและผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศได้ซักพักใหญ่ที่พากันกลับบ้านมาเปิดกิจการของตัวเองหรือเป็นลูกจ้างให้กับสตาร์ทอัพทุนหนายิ่งช่วยให้ตลาดภูมิภาคมีศักยภาพและพร้อมขยายธุรกิจออกนอกภูมิภาคได้

นอกจากนี้ สตาร์ทอัพด้านการเงินและธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลต่าง ๆ ก็เข้ามาช่วยอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นหลายอย่างในภูมิภาค และทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคสามารถแข่งขันทัดเทียมในตลาดโลกได้

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ปี 2019 เป็นปีที่เศรษฐกิจแบบชนชั้นกลางที่ได้กองทัพสตาร์ทอัพมาช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายได้ถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว และก้าวต่อไปของอนาคตสตาร์ทอัพในเอเซียนคือ แบรนด์ต่าง ๆ จะต้องมุ่งสู่ตลาดโลกเป็น Global Brandเท่านั้นจึงจะอยู่รอด

 

เขียนโดย June Chen
Source: Tech in Asia

แปลและเรียบเรียงโดย วณิชชา สุมานัส


  • 123
  •  
  •  
  •  
  •  
Lilly
วณิชชา สุมานัส