แอปพลิเคชั่นแชทอย่าง Line ที่เข้ามาในไทยไม่ถึง 3 ปีก็เปลี่ยนวิธีติดต่อสื่อสารของคนไทยไปแล้ว แต่ถ้าถามคนที่คุมหางเสือโอเปอเรชั่นในไทยของบริษัทอินเตอร์เน็ตในเอเชีย เขาก็จะบอกคุณว่า “โมบายแพลตฟอร์มมันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น”
วันนี้เราจะได้พูดคุยเกี่ยวกับก้าวต่อไปของ Line กับ “อริยะ พนมยงค์”กรรมการผู้จัดการแห่ง Line ประเทศไทยและเข้ามาดูแลการทำงานของ Line ในไทยตั้งแต่เดือนตุลาคมเมื่อปี 2015 กัน
สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องคิดให้เหนือกว่าบริการติดต่อสื่อสาร
เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรไทยใช้ Line ส่งข้อความและโทรหากันได้ฟรีๆผ่านอินเตอร์เนตได้ทันที ไทยจึงกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่นที่สร้างแพลตฟอร์ม Line ขึ้นมา
“ไม่แปลกใจที่ Line กลายเป็นแอปฯลำดับต้นๆในไทยที่มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนคิดเป็น 80% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนในประเทศ ถ้าเทียบกับการส่งข้อความแบบ SMS และโทรหากันข้ามประเทศแล้ว การใช้ Line ช่วยประหยัดเงินแถมใช้ง่ายกว่าด้วย นั่นเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ Line โตขึ้น” คุณอริยะกล่าว
ที่สำคัญที่สุดคือตัวคาแรกเตอร์ของ Line ที่ดุ๊กดิ๊กขยับได้ หรือที่เราเรียกสติกเกอร์น่ะแหละ ทำให้ลูกค้าได้สื่ออารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าตัวอักษร ได้ใจมากกว่า ยิ่ง SMS ที่เสียความนิยมลงไปสำหรับคนที่ใช้สมาร์ทโฟน ทำให้แชทแอปยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก
ส่วนบริการอย่าง Line TV และ Facebook Live ก็นับเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อสื่อโทรทัศน์ หลายๆแบรนด์ก็หันมาทุ่มเงินให้กับโฆษณาดิจิทัลบนแชทแอปฯและสื่อสังคมออนไลน์
ท้ายสุด การต่อสู้แข่งขันสำหรับโฆษณาออนไลน์จะยิ่งเข้มข้นขึ้นบนวีดีโอออนไลน์และบนแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดระหว่างแชทแอปฯและสื่อสังคมออนไลน์ และในที่สุดเราจะได้เห็นนวัตกรรมโมเดลธุรกิจของสื่อ
ขณะที่อนาคตของ Line ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน ทำให้เกิดคำถามสำคัญๆหลายๆข้อตามมา เช่น Line จะรักษาแรงผลักดันและอิทธิพลกระจายไปทั่วในผู้ใช้งานสายเทคฯในไทยได้หรือไม่? Line จะรักษาฐานผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนได้หรือไม่ หรืออัตราการเติบโตของการใช้งานจะชะลอตัวลงแล้ว?
“ต่อให้แอปฯส่งข้อความของเราประสบความสำเร็จมากในไทย แต่อนาคต เราต้องมองให้ไกลว่าแค่บริการแชท” คุณอริยะกล่าว “Line เป็นโมบายแพลตฟอร์มที่แชทเป็นเพียงแค่หนึ่งในฟีเจอร์เท่านั้น แต่สุดท้ายเราต้องคิดให้ไกลกว่าการสื่อสาร”
“เพราะมันเป็นเทคโนโลยี เราถึงหยุดสร้างนวัตกรรมไม่ได้” คุณอริยะกล่าว “เราต้องให้แอปฯส่งข้อความได้วิวัฒนาการไปอีกขั้น เราแข่งกับตัวเอง เราต้องพนันกับอนาคตของเราเอง”
“3 ปีผ่านไปหลังจากที่ธุรกิจแชทตัวนี้เข้ามาในไทย Line ต้องพัฒนากันอีกเยอะเพื่อยึดตลาดในเมืองไทยกันต่อไป Line ต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า เพื่อสร้างฐานผู้ใช้งานของตัวบริการเองและทำเงินจากบริการอื่นๆ ให้เกิดความต้องการใหม่ๆตามวิถีชีวิตทันสมัยและลูกค้าวัยรุ่น นำไปสู่การทำรายได้ในที่สุด”
“พอร์ทัลอัจฉริยะ” ที่เชื่อมบริการทุกแพลตฟอร์ม
“จากการสำรวจของ Nielson คนไทยใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อวันกับสมาร์ทโฟน และ 1 ใน 3 ก็ใช้เวลาไปกับ Line” คุณอริยะกล่าว “ด้วยฐานลูกค้าของแอปฯที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เราจะเปลี่ยนผู้ใช้งานมาเป็นคนที่คอยฟังสิ่งที่แบรนด์จะพูด และจะกลายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเกมและสินค้าดิจิทัล”
Line จึงมองหาทางที่จะดึงผู้ใช้งานให้ใช้แต่แอปฯ Line กลายเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานใด้ในแอปฯเดียว
ซึ่งตัวบริษัทก็ได้ปล่อย Line TV ให้บริการในไทยในปี 2015 บนระบบ iOS Android และเว็บไซต์ มีรายการทีวีและมิวสิควีดีโอยอดนิยมจากไทย เกาหลีและญี่ปุ่นให้ดูได้ฟรีๆ หากบริการ Line TV รวมเข้ากับ Line ที่เป็นแชทแอปฯอยู่แล้ว ผู้ใช้งานก็สามารถแชร์วีดีโอคอนเทนต์ให้เพื่อนได้ง่ายๆและสามารถติดตามแอคเคาทน์ของดาราศิลปินและทีวีโชว์บน Line TV ได้
และเมื่อปีที่แล้ว Line ก็เพิ่งเปิดตัว Line Today ซึ่งเป็นแอปฯพาดหัวข่าว และ Line Man แอปฯบริการรับส่งอาหารในไทย
คุณอริยะยังบอกอีกว่า บริการสามอย่างที่ว่ามาต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเปิดตัว และทั้งหมดก็ก็อยู่ในระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว
“เมื่อไหร่ที่เราทำให้มันเติบโตขึ้น เราก็จะมีโมเดลธุรกิจที่มีความหมาย และทำรายได้ให้เราในที่สุด” คุณอริยะกล่าว
แต่ถึงแม้ว่า Line จะประสบความสำเร็จในฐานะแชทแอปฯระดับโลก คุณอริยะก็ยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกบริการที่ประสบความสำเร็จ เช่น Line Music แอปฯบริการเพลงสตรีมมิ่งออนไลน์ก็ปิดตัวลงไปไม่ถึงปี เพราะเหตุผลง่ายๆคือ ไม่มีใครสนใจมากพอ
“เรายืดอดรับความล้มเหลวอยู่แล้ว เราเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อทำให้มันดีขึ้นได้”
และถ้าให้คุณอริยะให้คะแนนความสำเร็จของ Line เต็ม 10 คุณอริยะให้ 6 เต็ม 10 สำหรับศักยภาพของ Line ที่เขาดูแลอยู่
โลกที่ไม่มีแอปพลิเคชั่น
คุณอริยะเชื่อว่าโลกของโมบายแอปพลิเคชั่นจะหายไปในไม่ช้า เราจะไม่ต้องมานั่งโหลดและติดตั้งแอปฯลงในเครื่องอีกต่อไป เมมโมรี่ในเครื่องก็มีจำกัด ปรกติคนก็ลบแอปฯที่ไม่อยากให้มีหรือไม่จำเป็นออกไปจากหน้าจอบ่อยๆ เพื่อให้เครื่องมีเมมโมรี่มากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าการลบแอปฯและติดตั้งแอปฯใหม่เป็นเรื่องที่เสียเวลา
“ผมเชื่อมากๆว่าคนใช้สมาร์ทโฟนอยู่จะต้องใช้แอปฯได้หลากหลายโดยที่ไม่ต้องมานั่งโหลดแอปฯจาก App Store อีก” คุณอริยะกล่าว “นั่นเป็นเทรนด์ของโลกโมบายแอปฯที่ไม่มีใครเขานั่งมาดาวน์โหลดแอปฯกันแล้ว และ Line จะกลายเป็นประตูที่รวมบริการดิจิทัลที่หลากหลายไว้ในแอปฯเดียว”
คุณอริยะกล่าวอีกว่า กว่า 5 ปีที่ผ่านมาแอปฯดาวน์โหลดเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆสำหรับคนใช้สมาร์ทโฟน แต่วันนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีแอปฯเยอะแยะรกหน้าจออีกต่อไปแล้ว เราคอยแต่กำจัดแอปฯที่ไม่จำเป็น ล้างหน้าจอสมาร์ทโฟนของเรา
“แนวคิดที่จะมีหน้าจอที่เต็มไปด้วยแอปฯ แอปฯแต่ละแอปฯที่แยกกันเพื่อเราเข้าไปมีประสบการณ์ แนวคิดแบบนี้จะไม่เข้าท่าขึ้นทุกที แต่แนวคิดที่เอาแอปฯออกไป ดันคอนเทนต์เป็นศูนย์กลาง และให้เราได้สัมผัสประสบการณ์แทน จะเป็นแนวคิดที่เข้าท่ามากกว่า” คุณอริยะกล่าว ประสบการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นบางอย่างที่เหมือนกับศูนย์กลางการแจ้งเตือน หรือบางอย่างที่คล้ายๆกับ Google ก็ได้ หรือบางอย่างที่ดูใหม่ไปเลย
ในโลกที่มีหลายหน้าจอและดีไวซ์หลายๆเครื่อง คอนเทนต์ต้องถูกซอยย่อยให้ทำงานเข้ากับหน้าจอหลายๆขนาดหรือแพลตฟอร์มเทคโนโลยี
“ไอคอนแอปฯที่มีแนวดีไซน์เด่นๆกลายเป็นเรื่องเชยและไร้ประสิทธิภาพ ผมคิดว่าไม่ปีสองปี เราก็จะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้อีก” คุณอริยะกล่าว “ฉะนั้น คนทำคอนเทนต์ ถ้าอยากอยู่รอด อย่าทำแอปฯเอง แต่ให้พัฒนาบริการและแพลตฟอร์มการสื่อสารแบบ Line ที่ช่วยให้คอนเทนต์กระจายได้แพร่หลายดีกว่า”
แชทแอปฯจะตอบโจทย์ฐานลูกค้าได้อีก ตราบใดที่โลกยังใช้สมาร์ทโฟนอยู่
“สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการ iOS และ Android Line จะเข้าไปตอบโจทย์ระบบนิเวศที่ครอบคลุมทั้งการชำระเงิน เกม การถ่ายทอดสด และการสื่อสาร ”
คุณอริยะยังได้บอกอีกว่าเทคโนโลยีอย่างบริการสตรีมมิ่งอินเตอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับธุรกิจดั้งเดิมอย่างธนาคาร ค้าปลีก การถ่ายทอดสด อีคอมเมิร์ซ และสื่อสิ่งพิมพ์
“ผมเชื่อมากๆว่าผู้ให้บริการสื่อโทรทัศน์จะต้องรู้ว่าอนาคตจะต้องเข้าสู่พื้นที่ออนไลน์ สื่อพวกนี้ต้องเปลี่ยนอนาคตของการถ่ายทอดสดเพื่อเอาชนะความท้าทายที่ว่า เพราะคนเรียกร้องหาเปลี่ยนแปลง อยากได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เปลี่ยนจากคอนเทนต์ที่เสพ เป็นดีไวซ์ที่ใช้เสพคอนเทนต์และวิธีที่คนเลือกที่จะจ่ายแทน”
การดูรายการโทรทัศน์ที่มาพร้อมกับตารางการฉายจะไม่ใช่เรื่องที่ทุคนเขาทำกัน แต่การเสพคอนเทนต์บนหน้าจอมือถือกลายเป็นเรื่องปรกติมากว่าที่เคยเป็น บางทีมันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่เพราะคนดูชอบคอนเทนต์ที่แตกต่างกันไปแล้วแต่คน แต่เพราะคุณภาพของคอนเทนต์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆและเหมาะกับหน้าจอที่คนมีอยู่ด้วย
Line จะโฟกัสไปที่แนวคิดวีดีโอบนมือถือเป็นอย่างแรก โดยมี Line TV เป็นตัวนำ
“นอกจากเราจะมีพนักงาน 140 คนอยู่แล้วในไทย Line ยังเพิ่มคนทำคอนเทนต์และคนที่คอยสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาคอนเทนต์ให้ตื่นเต้นมากขึ้น ตามเทรนด์พฤติกรรมออนไลน์ของลูกค้า” คุณอริยะกล่าว
2017 จะเป็นปีทองของ Line
Line TV และ Line Today จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ Line ปีนี้
“บริการสองตัวนี้จะเป็นอนาคตของเรา” คุณอริยะกล่าว “เราได้เปรียบคู่แข่งตรงที่เรามาฐานลูกค้าใหญ่ซึ่งเป็นทรัพย์สินพื้นฐานที่มีค่าที่สุดในการทำธุรกิจ Line จะทำธุรกิจใหม่ๆด้วยนวัตกรรมใหม่ๆของตัวธุรกิจนั้นเอง และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจคนอื่นๆ”
เขากล่าวว่า “ขณะที่ผู้บริโภคหลายๆคนก็หันมาซื้อของออนไลน์ แต่บริษัทก็ยังไม่เร็วพอสำหรับช่องทางออนไลน์หรือดิจิทัล”
มีเพียงแค่ร้อยละ 10 จากธุรกิจกว่า 3 ล้านธุรกิจที่ทำงานกันออนไลน์ Line สนับสนุน SMEs ให้ทำธุรกิจออนไลน์และขยายตลาดไปต่างประเทศ เพราะ SMEs เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในภาคธุรกิจและเป็นสันหลังเศรษฐกิจของชาติ
“ปี 2017 จะเป็นปีทองของ Line” คุณอริยะกล่าว “ด้วยเทคโนโลยีที่เรามี เราต้องสร้างธุรกิจให้ได้สองเท่าทุกๆปีเพื่อให้เราอยู่รอด”
ต่อให้สื่อสังคมออนไลน์ที่สร้างมาดีอย่าง Facebook จะเป็นอุปสรรคต่อ Line มาตลอด แต่คุณอริยะก็ยังยก Line ให้เป็นแพลตฟอร์มเปิดกลายเป็นผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์อย่างแท้จริง
“Line มีโอกาสดีๆที่จะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่พอจะท้าทายธุรกิจอื่นๆได้” เขากล่าว “เราต้องการให้ทุกอย่างมีอยู่ใน Line ในปี 2018”
แหล่งที่มา
http://m.bangkokpost.com/business/news/1204673/next-in-line