งาน Startup Thailand 2017 ที่ผ่านมาคุณมาโนช พฤติสถาพร แห่ง Fred & Frandcis ได้ไปในหัวข้อ Start Startup ร่วมกับบิ๊ก Skilllane และพี่แจ็ค Foodstoryว่าก่อนมาทำสตาร์ทอัพต้องเตรียมใจอย่างไร?
ทำไมต้องเตรียมใจ? ทำสตาร์ทอัพยาก เพราะอะไร?
1. ต้องเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ
2. คนทำสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ไม่เคยทำธุรกิจตัวเองมาก่อน
3. สตาร์ทอัพมีความเสี่ยงความไม่แน่นอนสูงกว่า SME และวิธีคิดแบบสตาร์ทอัพต่างจากการทำงานบริษัทใหญ่หรือ SME มาก วิธีคิดที่แตกต่างสุดคือ สตาร์ทอัพสร้างโซลูชั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นโซลูชั่นที่ต้องโตเร็วมาก
เตรียมใจเจอกับอะไรบ้าง?
สตาร์ทอัพแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน เจอความท้าทายต่างกัน ความพร้อมของทีมก็ต่างกัน โดยทั่วไปผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพจะเจอกับความท้าทายเหล่านี้
1. ทำทุกอย่าง
เป็นผู้ประกอบการ คุณต้องทำทุกอย่าง สตาร์ทอัพก็เช่นบริษัททั่วไปที่ต้องมีงานด้าน Sales, Marketing, Operations, Customer Service, Legal, Accounting, Programming คุณต้องมีคนทำหรือทำเอง ถ้าคุณไม่เคยเป็นผู้ประกอบการมาก่อน ไม่มีทางที่คุณจะเคยทำทุกอย่างมาก่อน ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้และพร้อมทำทุกอย่าง
2. ต้องบริหารคน
เมื่อสตาร์ทอัพเริ่มโต คุณต้องเริ่มจ้างคนและบริหารคน เป็นที่รู้กันว่าบริหารคนนั้นยากที่สุด ถ้าไม่เคยบริหารคนมากอ่า คุณจะเจอปัญหามากมายที่คุณคาดไม่ถึง
3. ไม่ค่อยมีคนอยากมาทำกับเรา
คนส่วนใหญ่ชอบทำบริษัทใหญ่เพราะมั่นคงกว่า ใครๆก็รู้จัก และตำแหน่งความรับผิดชอบก็ชัดเจน จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะหาคนที่พร้อมจะผจญภัยไปกับเรา เชื่อในตัวเราและสิ่งที่เราวาดฝันไว้
4. หายใจเข้าออกเป็นเรื่องธุรกิจตลอดเวลา
คุณเป็นผู้ประกอบการ รายได้รายจ่ายบริษัทคือรายได้รายจ่ายคุณในที่สุด คุณคือคนจ่ายเงินเดือนให้ทีมและตัวเอง คุณรู้ว่าทำมากได้มาก อารมณ์คุณแปรผันตรงกับสถานการณ์ของบริษัท
4 อย่างแรกคือสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องเจอ แล้วสิ่งที่คนทำสตาร์ทอัพต้องเจอมากกว่าผู้ประกอบการทั่วไปคืออะไร?
1. สร้างสิ่งที่ไม่มีมาก่อนแม้ลูกค้าก็ไม่รู้
สิ่งที่คุณจะทำนั้นไม่แน่นอนเลย สตาร์ทอัพคือการหาปัญหาและทดลองสร้างโซลูชั่นใหม่ที่สามารถโตได้เร็วและสเกลเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ แนวคิดของสตาร์ทอัพเชื่อว่าลูกค้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการโซลูชั่นอะไรจนกว่าจะได้ลองใช้จริง ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่คุณนั้นจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก
2. คุ้นชินกับความล้มเหลวและการปฏิเสธ
แนวคิดของสตาร์ทอัพคือล้มให้ไว เรียนรู้ให้เร็ว สตาร์ทอัพกำลังทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนและไม่แน่ใจว่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้หรือไม่ และทำด้วยความคิดที่ว่านี่คือการทดลอง ดังนั้นคุณจะเจอการปฏิเสธจากผู้ใช้ การเรียนรู้ว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นไม่เวิร์ก คุณต้องเจออย่างนี้ ทดลองอย่างนี้หลายรอบ กว่าจะเจอโซลูชั่นที่ใช่หรืออาจไม่เจอเลย
3. คนรอบข้างไม่เชื่อไม่สนับสนุน
คุณจะเจอคำถามจากคนรอบข้าง เพราะสิ่งที่คุณทำมันใหม่ ดูไม่มั่นคงเลย ในสายตาคนรอบข้างหรือแม้แต่คนมีประสบการณ์ด้านนั้น สิ่งที่คุณฝันนั้นดูเป็นไปไม่ได้ตอนเริ่ม ยิ่งไปกว่านั้นสตาร์ทอัพเป็นสิ่งใหม่ในสังคมไทยที่ยังไม่มีตัวอย่างความสำเร็จสุดท้ายที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าสตาร์ทอัพคืออะไร จะกลายเป็นธุรกิจใหญ่ได้อย่างไร
4. ไม่ใช่แค่อยู่รอดแต่คือต้องโตเร็วต้อง Scale
เป้าหมายของคนทำสตาร์ทอัพคือสร้างธุรกิจที่โตเร็วเป็นธุรกิจพันล้าน การมีกำไรแค่พอจ่ายเงินเดือนคนในทีมจึงไม่พอ การเห็นตัวเลขเป็นบวกแต่รายได้ไม่โตก็เครียดแล้ว
5 ดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงาน
สตาร์ทอัพจะโตเร็วไม่ได้แข่งขันกับบริษัทใหญ่ ถ้าทีมงานไม่เก่ง จึงเป็นความท้าทายของผู้ก่อตั้งที่ต้องขายฝันสามารถชักจูงให้คนเก่งมีหน้าที่การงานและรายได้ดีให้ยอมทิ้งโอกาสปัจจุบันมาอยู่กับเรา
6. ต้องหาคนและเปลี่ยนวิธีการทำงานของคนให้เป็นแบบ Startup
วิธีการทำงานแบบสตาร์ทอัพนั้นเป็นสิ่งใหม่ แตกต่างจากการทำSMEและทำบริษัทใหญ่ ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการทำสตาร์ทอัพ คนที่มาร่วมทำสตาร์ทอัพกับเราส่วนใหญ่ไม่เคยทำสตาร์ทอัพมาก่อน การเปลี่ยนวิธีการทำงานของพวกเขาให้เป็นแบบสตาร์ทอัพจึงเป็นความท้าทายที่ทุกสตาร์ทอัพต้องเจอ
7. ช่วงแรกจะจนมาก
การทำสตาร์ทอัพนั้นต่อให้เริ่มมีกำไรก็จะไม่มีการแจกปันผล สิ่งที่สตาร์ทอัพทำคือเอาเงินนั้นไปทำอย่างไรก็ได้ให้บริษัทโตเร็วที่สุด
8. ทำงานหนักมากที่สุดไม่มีเวลาให้อย่างอื่น
สตาร์ทอัพต้องโตเร็วเพื่อหนีคู่แข่งและตอบโจทย์นักลงทุน การจะโตเร็วได้คุณและทีมคุณต้องเก่งและต้องทำงานหนักมาก เพือให้เรียนรู้ให้เร็วที่สุด
9. ต้องโตให้ทันสตาร์ทอัพ
สตาร์ทอัพนั้นโตเร็วมาก จากตอนเริ่มไม่มีลูกน้อง ผู้ก่อตั้งโฟกัสแค่การหา product market fit ไม่ถึงปีต้องจ้างคน ไปเรื่อยๆก็ต้องจ้าง middle management ต้องมีการตัดสินใจเรื่อง partnership เรื่อง fund raising และเรื่องสำคัญอื่นๆที่มีผลกระทบกับอนาคตบริษัท ผู้ก่อตั้งต้องสามารถเรียนรู้สกิลใหม่ๆที่จำเป็นสำหรับแต่ละช่วงของบริษัท เพื่อสามารถนำพาบริษัทให้เติบโตไปได้เรื่อยๆ
แล้วถ้าสนใจทำสตาร์ทอัพ ควรเตรียมตัวอย่างไร?
1. ศึกษาและเข้าใจแนวคิด Lean Startup
หนังสือที่แนะนำคือ Lean Startup และวิธีการหาลูกค้าในรูปแบบสตาร์ทอัพ หนังสือที่แนะนำคือ Traction แนะนำให้อ่านสองรอบ อ่านรอบแรกแล้วจะงงๆ
2. หาทีมที่เข้ากัน มี passion เรื่องสตาร์ทอัพ และมีสกิลที่เสริมกัน
งานที่มีสิทธิ์เจอคนเหล่านี้คืองานสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะคอร์สเรียน Disrupt Univeristy และงาน Hackathon
3. หาปัญหาที่สนใจ อยากจะแก้
ถ้ามีแบคกราวนด์ด้านนั้นจะดีมาก เริ่มจากปัญหาที่เราเจอในชีวิตประจำวันหรือที่ทำงาน ถ้าสนใจทำแต่ยังหาปัญหาไม่เจอ แนะนำให้ศึกษา top 100 startups in the US แล้วดูว่าตัวไหนน่าจะเหมาะกับที่ไทยบ้าง
4. ลงมือทำและเริ่มให้เล็กที่สุด
define users ให้เล็กและชัดเจนที่สุด วิธีทดสอบตลาดที่ดีที่สุดคือการทดสอบตลาดโดยที่ยังไม่ต้องสร้างproduct วิธีแนะนำคือ สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายสัก 7-15 คน แล้วสร้าง Facebook Page และสร้าง ads ขึ้นมาเพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจขนาดไหน
5. หา mentor
การสร้างสตาร์ทอัพเป็นงานที่ยากมากๆ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา การมีที่ปรึกษาที่ผ่านเรื่องนี้มาแล้วจะช่วยได้มาก
6. ทำงานบริษัทสตาร์ทอัพ คือการเรียนรู้สตาร์ทอัพที่ดีที่สุด
เพราะจะได้เรียนรู้ทั้งสกิลและวิธีการคิดและทำงานแบบสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ดีในการหา cofounder
แหล่งที่มา
https://m.facebook.com/manoje.prutthisathaporn/posts/10159003495840029