ลองคิดถึงแอปพลิเคชันมือถือที่คุณชอบและใช้งานมันตลอดสิ บางทีแอปฯบางตัวอาจจะทำให้คุณรำคาญก็ได้ แต่แอปฯบางตัวก็เหมือนกันมากกว่าที่คุณคิด ในขณะที่แอปฯวีดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Netflix และแชทแอปฯอย่าง Line ก็เหมือนกันอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ว่าแต่มันเหมือนกันอย่างไรล่ะ?
คำตอบชัดๆคือ แอปพวกนี้เป็น “Freemium Apps”
หลายๆคนคุ้นเคยกับโมเดลทำเงินในรูปแบบของ “ฟรีเมี่ยม” มามากแล้ว เห็นชัดๆคือแอปฯเกมที่ใช้แทคติกลูกเล่นเพื่อจูงใจผู้เล่นซื้อแอปฯเสียเงินทีหลัง นึกถึงเกมอย่าง Farmville หรือ Clash of Clans สิ ในขณะที่เกมเพลย์ถูกออกแบบให้ “ล่อ” ผู้เล่นต้องจ่ายล่วงหน้าเพื่อผ่านด่านเกมได้เร็วขึ้น แน่ละ ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่า ได้จ่าย 50 เหรียญเพื่อจุดแค่สองจุดในเกมตอนตีสามหรอก
ทำให้แอปฯอย่าง Line และ Netflix เป็นแอปฯยอดนิยมฟังดูไม่มีเหตุผลเลยว่ามั้ย
แล้ว “ฟรีเมี่ยม” จริงๆมันคืออะไรกันแน่?
จาก Investopedia แล้ว ฟรีเมี่ยมที่ว่าก็คือโมเดลทางธุรกิจน่ะแหละ มีทั้งสินค้าและบริการแจกฟรีและเสียเงินซื้อ เราโหลดแอปฯฟรีเมี่ยมได้ฟรี แต่เก็บเงินสำหรับฟีเจอร์ ฟังค์ชั่น และไอเท็มเสมือนจริงในแอปฯแทน
ฉะนั้น ชัดเจนเลยว่าทำไมเกมยอดฮิตอย่าง Two Dots และ Clash of Clans จัดเป็นแอปฯพวกนี้ด้วย แต่เราต้องใช้เงินซื้อไอเท็มเสมือนจริงเพื่อเล่นและเอาชนะเกมได้เร็วขึ้น Spotify ก็จัดเป็นแอปฯฟรีเมี่ยมเช่นกัน แต่ผู้ใช้งานสามารถพัฒนาประสบการณ์การฟังเพลงได้โดยจ่ายเพื่อแทรกที่มีคุณภาพสูงกว่าและอีกหลายฟีเจอร์พรีเมี่ยมบน Spotify
ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่า ได้จ่าย 50 เหรียญเพื่อจุดแค่สองจุดในเกมตอนตีสามหรอก
แอปฯมือถือทำเงินนั้นจริงๆแล้วทำรายได้ยากพอควรต่างจากแอปฯฟรีเมี่ยม ปี 2016 แอปฯฟรีเมี่ยมกวาดรายได้ไปกว่า 30 พันล้านเหรียญ และจะทำรายได้มากกว่า 60 พันล้านเหรียญในปี 2020 โฆษณาติดตั้งในมือถือและแอปฯฟรีเมี่ยมทำรายได้ไปกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดระหว่างปี 2015 และ 2020
แอปฯฟรีเมี่ยมนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ดูอย่าง Spotify ก็ได้ Spotify เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมที่ไม่ต้องบิดเบือนหรือไปบังคับอะไรทั้งนั้น ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้แผยแพร่แอปฯที่จะเลือกกลยุทธ์ทำเงินที่เหมาะสมกับ “คุณค่า” ของแอปฯและผู้ใช้งานด้วย
และนี่คือวิธีการที่แอปฯยอดนิยมทั้ง 5 ได้ใช้โมเดลฟรีเมี่ยมในการหาเงิน
1. Netflix
Netflix ให้บริการสตรีมมิ่ง เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมที่ใช้โมเดลการเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสมัครสมาชิก และโมเดลนี้ก็กำลังเป็นเรื่องปรกติไปแล้วและทำรายได้ไป 15% จากรายได้ของแอปฯทั้งหมด โดย Netflix ให้ทดลองใช้บริการฟีเต็มๆหนึ่งเดือน เป็นการจูงใจให้ผู้ใช้งานเห็นถึงคุณค่าของแอปฯและช่วย Netflix รักษาฐานผู้ใช้งานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. Dropbox
หากจะพูดถึงบริการจัดเก็บไฟล์แล้ว ต้องนึกถึง Dropbox แน่นอน ซึ่งเจ้า Dropbox ได้ทำเงินจากบริการนี้โดยการทะลุข้อจำกัดของตัวเองไป หมายความมว่าแอปฯตัวนี้จะให้บริการเนื้อที่จัดเก็บไฟล์ที่จำกัดฟรี ใครอยากได้เนื้อที่เพื่มก็ต้องจ่ายเพิ่ม
และอีกหลายๆบริการที่ใช้โมเดลฟรีเมี่ยม การเข้าถึงเนื้อหาที่จำกัด แบนด์วิดธ์ และเกมเพลย์ ดูอย่าง The New York Times ที่จำกัดบทความที่เราอ่านได้ก่อนที่จะเด้งกล่องลงทะเบียนให้เรากรอกเพื่ออ่านบทความทั้งหมด Candy Crush ก็บังคับให้เราจ่าย 0.99 เซนต์เพื่อปลกล็อกเกมด่านต่อไป
3. Line
แอปฯแชทยอดฮิตโดยเฉพาะในไทยอย่าง Line ก็เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมอีกตัวที่ทำยอดขายจากฟีเจอร์เสริมไปได้รวม 1 พันล้านเหรียญ กลายเป็นแอปฯที่ทำเงิสูงสุดในประเภทแอปฯที่ไม่ใช่เกมทั้งหมด ยอดขายมากกว่า 40% ถูกกระจายไปอยู่ที่การซื้อขายในแอปฯเกมโซเชี่ยว ซึ่งแอปฯพวกนี้โหลดฟรีทั้งหมด มีเพียงแอปฯไม่กี่ตัวที่ขายสติ๊กเกอร์
แอปฯฟรีเมี่ยมที่ไม่ต้องบิดเบือนหรือไปบังคับอะไรทั้งนั้น
เชื่อหรือไม่ว่าคนซื้อสติกเกอร์ในแชทแอปฯเพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการแชทฯในแชทแอปฯ ผู้ใช้งานจะได้สติ๊กเกอร์พื้นฐานฟรี หากอยากได้สต็กเกอร์มากกว่านี้ก็ต้องเช่าไปดูสติ๊กเกอร์อื่นๆใน Library และจ่ายเงินแม้แต่ซื้อสติ๊กเกอร์ให้เพื่อนด้วย
วิธีทำเงินแบบนี้ใช้มากกับแอปฯเกมอย่าง Clash of Clans เราจ่ายเงินเพื่อซื้อทองและยาอายุวัฒนะในเกมเพื่อเล่นเกมได้ง่ายขึ้น แอปฯจับคู่เดทอย่าง Tinder ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน เราจ่ายเงินให้ฟีเจอร์เพื่อเพิ่มโอกาสได้คู่ที่ใช่
4. Trivia Crack
และอีกหลายๆเกมที่ใช้โฆษณาเพื่อจูงใจผู้ใช้งานให้จ่ายเช่น Trivia Crack โดยจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อเอาโฆษณาออกนั่นเอง
แต่โมเดลนี้มีสมมติฐานอยู่ที่ว่าผู้ใช้งานหาทางอื่นไม่ได้อีกแล้ว วิธีฟรีๆอย่างโมบายและบล็อกเกอร์ก็เอาไว้เอาโฆษณาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แอปฯพวกนี้ยังเสี่ยงถูกเขี่ยทิ้งหากต้องแข่งกับแอปฯที่ไม่มีโฆษณารกๆ เพราะผู้ใช้งานจะหันมาใช้แอปฯของคู่แข่ง
5. Spotify
ส่วนแอปฯอื่นก็ใช้วิธีที่ผสมๆกันในแอปฯเดียวเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เป็นลูกค้าจริงๆเสียที Spotify เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ Spotify ให้บริการสตรีมมิ่งเพลงก็ให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้งานไประยะหนึ่งก่อนที่จะเสนอค่าสมาชิก ซึ่งวิธีนี้แม้จะเหมือน Netflix แต่ Spotify ให้ผู้ใช้งานได้ใช้บริการฟรีได้ต่อไปแต่บริการฟรีที่ว่านี้กลายเป็นคนละเวอร์ชั่นกับบริการของสมาชิกไปแล้ว
Spotify มีโฆษณาคั่นระหว่างเนื้อเพลง เหมือนกับ Trivia Crack มีคุณภาพเสียงเพลงที่จำกัด หากอยากได้เสียงดีกว่านี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นเดียวกับ Dropbox Spotify ให้คุณจ่ายเพิ่อมเพื่อเอาโฆษณษออก เพื่อคุณภาพเสียงชัดเจนถึง 320kbps แถมให้เข้าถึงบริการฟังเพลงออฟไลน์ด้วย
เราจะเห็นหมดแล้วแอปฯว่าฟรีเมี่ยมนั้นมีเยอะมากและหลากหลายจริงๆ แอปฯจะแนวกว่านี้หากทำรายได้ด้วย ถึงเวลาที่จะเลิกเข้าใจผิดเกี่ยวกับการซื้อของในแอปฯหน่อยสิ เพราะเราไม่จำเป็นต้องทำแอปฯให้เหมือน Candy Crush อีกแล้ว
แหล่งที่มา
https://www.techinasia.com/freemium-app-monetization