วิธีที่แอปพลิเคชันยอดนิยมใช้โมเดล “ฟรีเมี่ยม” หาเงิน

  • 134
  •  
  •  
  •  
  •  

ลองคิดถึงแอปพลิเคชันมือถือที่คุณชอบและใช้งานมันตลอดสิ บางทีแอปฯบางตัวอาจจะทำให้คุณรำคาญก็ได้ แต่แอปฯบางตัวก็เหมือนกันมากกว่าที่คุณคิด ในขณะที่แอปฯวีดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Netflix และแชทแอปฯอย่าง Line ก็เหมือนกันอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ว่าแต่มันเหมือนกันอย่างไรล่ะ?

คำตอบชัดๆคือ แอปพวกนี้เป็น “Freemium Apps”

หลายๆคนคุ้นเคยกับโมเดลทำเงินในรูปแบบของ “ฟรีเมี่ยม” มามากแล้ว เห็นชัดๆคือแอปฯเกมที่ใช้แทคติกลูกเล่นเพื่อจูงใจผู้เล่นซื้อแอปฯเสียเงินทีหลัง นึกถึงเกมอย่าง Farmville หรือ Clash of Clans สิ ในขณะที่เกมเพลย์ถูกออกแบบให้ “ล่อ” ผู้เล่นต้องจ่ายล่วงหน้าเพื่อผ่านด่านเกมได้เร็วขึ้น แน่ละ ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่า ได้จ่าย 50 เหรียญเพื่อจุดแค่สองจุดในเกมตอนตีสามหรอก

ทำให้แอปฯอย่าง Line และ Netflix เป็นแอปฯยอดนิยมฟังดูไม่มีเหตุผลเลยว่ามั้ย

แล้ว “ฟรีเมี่ยม” จริงๆมันคืออะไรกันแน่?

phone-app-ad

จาก Investopedia แล้ว ฟรีเมี่ยมที่ว่าก็คือโมเดลทางธุรกิจน่ะแหละ มีทั้งสินค้าและบริการแจกฟรีและเสียเงินซื้อ เราโหลดแอปฯฟรีเมี่ยมได้ฟรี แต่เก็บเงินสำหรับฟีเจอร์ ฟังค์ชั่น และไอเท็มเสมือนจริงในแอปฯแทน

ฉะนั้น ชัดเจนเลยว่าทำไมเกมยอดฮิตอย่าง Two Dots และ Clash of Clans จัดเป็นแอปฯพวกนี้ด้วย แต่เราต้องใช้เงินซื้อไอเท็มเสมือนจริงเพื่อเล่นและเอาชนะเกมได้เร็วขึ้น Spotify ก็จัดเป็นแอปฯฟรีเมี่ยมเช่นกัน แต่ผู้ใช้งานสามารถพัฒนาประสบการณ์การฟังเพลงได้โดยจ่ายเพื่อแทรกที่มีคุณภาพสูงกว่าและอีกหลายฟีเจอร์พรีเมี่ยมบน Spotify

ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่า ได้จ่าย 50 เหรียญเพื่อจุดแค่สองจุดในเกมตอนตีสามหรอก

แอปฯมือถือทำเงินนั้นจริงๆแล้วทำรายได้ยากพอควรต่างจากแอปฯฟรีเมี่ยม ปี 2016 แอปฯฟรีเมี่ยมกวาดรายได้ไปกว่า 30 พันล้านเหรียญ และจะทำรายได้มากกว่า 60 พันล้านเหรียญในปี 2020 โฆษณาติดตั้งในมือถือและแอปฯฟรีเมี่ยมทำรายได้ไปกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดระหว่างปี 2015 และ 2020

แอปฯฟรีเมี่ยมนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ดูอย่าง Spotify ก็ได้ Spotify เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมที่ไม่ต้องบิดเบือนหรือไปบังคับอะไรทั้งนั้น ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้แผยแพร่แอปฯที่จะเลือกกลยุทธ์ทำเงินที่เหมาะสมกับ “คุณค่า” ของแอปฯและผู้ใช้งานด้วย

 

 

และนี่คือวิธีการที่แอปฯยอดนิยมทั้ง 5 ได้ใช้โมเดลฟรีเมี่ยมในการหาเงิน

 

1. Netflix

Netflix ให้บริการสตรีมมิ่ง เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมที่ใช้โมเดลการเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสมัครสมาชิก และโมเดลนี้ก็กำลังเป็นเรื่องปรกติไปแล้วและทำรายได้ไป 15% จากรายได้ของแอปฯทั้งหมด โดย Netflix ให้ทดลองใช้บริการฟีเต็มๆหนึ่งเดือน เป็นการจูงใจให้ผู้ใช้งานเห็นถึงคุณค่าของแอปฯและช่วย Netflix รักษาฐานผู้ใช้งานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

inside-netflixs-battle-to-win-the-world-photo-04

 

2. Dropbox

หากจะพูดถึงบริการจัดเก็บไฟล์แล้ว ต้องนึกถึง Dropbox แน่นอน ซึ่งเจ้า Dropbox ได้ทำเงินจากบริการนี้โดยการทะลุข้อจำกัดของตัวเองไป หมายความมว่าแอปฯตัวนี้จะให้บริการเนื้อที่จัดเก็บไฟล์ที่จำกัดฟรี ใครอยากได้เนื้อที่เพื่มก็ต้องจ่ายเพิ่ม

และอีกหลายๆบริการที่ใช้โมเดลฟรีเมี่ยม การเข้าถึงเนื้อหาที่จำกัด แบนด์วิดธ์ และเกมเพลย์ ดูอย่าง The New York Times ที่จำกัดบทความที่เราอ่านได้ก่อนที่จะเด้งกล่องลงทะเบียนให้เรากรอกเพื่ออ่านบทความทั้งหมด Candy Crush ก็บังคับให้เราจ่าย 0.99 เซนต์เพื่อปลกล็อกเกมด่านต่อไป

1892-screenshot2014-05-15at2-57-39pm

3. Line

แอปฯแชทยอดฮิตโดยเฉพาะในไทยอย่าง Line ก็เป็นแอปฯฟรีเมี่ยมอีกตัวที่ทำยอดขายจากฟีเจอร์เสริมไปได้รวม 1 พันล้านเหรียญ กลายเป็นแอปฯที่ทำเงิสูงสุดในประเภทแอปฯที่ไม่ใช่เกมทั้งหมด ยอดขายมากกว่า 40% ถูกกระจายไปอยู่ที่การซื้อขายในแอปฯเกมโซเชี่ยว ซึ่งแอปฯพวกนี้โหลดฟรีทั้งหมด มีเพียงแอปฯไม่กี่ตัวที่ขายสติ๊กเกอร์

line-sticker-gif

 

แอปฯฟรีเมี่ยมที่ไม่ต้องบิดเบือนหรือไปบังคับอะไรทั้งนั้น

เชื่อหรือไม่ว่าคนซื้อสติกเกอร์ในแชทแอปฯเพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการแชทฯในแชทแอปฯ ผู้ใช้งานจะได้สติ๊กเกอร์พื้นฐานฟรี หากอยากได้สต็กเกอร์มากกว่านี้ก็ต้องเช่าไปดูสติ๊กเกอร์อื่นๆใน Library และจ่ายเงินแม้แต่ซื้อสติ๊กเกอร์ให้เพื่อนด้วย

วิธีทำเงินแบบนี้ใช้มากกับแอปฯเกมอย่าง Clash of Clans เราจ่ายเงินเพื่อซื้อทองและยาอายุวัฒนะในเกมเพื่อเล่นเกมได้ง่ายขึ้น แอปฯจับคู่เดทอย่าง Tinder ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน เราจ่ายเงินให้ฟีเจอร์เพื่อเพิ่มโอกาสได้คู่ที่ใช่

 

4. Trivia Crack

และอีกหลายๆเกมที่ใช้โฆษณาเพื่อจูงใจผู้ใช้งานให้จ่ายเช่น Trivia Crack โดยจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อเอาโฆษณาออกนั่นเอง

แต่โมเดลนี้มีสมมติฐานอยู่ที่ว่าผู้ใช้งานหาทางอื่นไม่ได้อีกแล้ว วิธีฟรีๆอย่างโมบายและบล็อกเกอร์ก็เอาไว้เอาโฆษณาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แอปฯพวกนี้ยังเสี่ยงถูกเขี่ยทิ้งหากต้องแข่งกับแอปฯที่ไม่มีโฆษณารกๆ เพราะผู้ใช้งานจะหันมาใช้แอปฯของคู่แข่ง

trivia-crack-750x456

 

5. Spotify

ส่วนแอปฯอื่นก็ใช้วิธีที่ผสมๆกันในแอปฯเดียวเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เป็นลูกค้าจริงๆเสียที Spotify เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ Spotify ให้บริการสตรีมมิ่งเพลงก็ให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้งานไประยะหนึ่งก่อนที่จะเสนอค่าสมาชิก ซึ่งวิธีนี้แม้จะเหมือน Netflix  แต่ Spotify ให้ผู้ใช้งานได้ใช้บริการฟรีได้ต่อไปแต่บริการฟรีที่ว่านี้กลายเป็นคนละเวอร์ชั่นกับบริการของสมาชิกไปแล้ว

Spotify มีโฆษณาคั่นระหว่างเนื้อเพลง เหมือนกับ Trivia Crack มีคุณภาพเสียงเพลงที่จำกัด หากอยากได้เสียงดีกว่านี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเช่นเดียวกับ Dropbox Spotify ให้คุณจ่ายเพิ่อมเพื่อเอาโฆษณษออก เพื่อคุณภาพเสียงชัดเจนถึง 320kbps แถมให้เข้าถึงบริการฟังเพลงออฟไลน์ด้วย

waktunya-spotify-feature-750x422

 

เราจะเห็นหมดแล้วแอปฯว่าฟรีเมี่ยมนั้นมีเยอะมากและหลากหลายจริงๆ แอปฯจะแนวกว่านี้หากทำรายได้ด้วย ถึงเวลาที่จะเลิกเข้าใจผิดเกี่ยวกับการซื้อของในแอปฯหน่อยสิ เพราะเราไม่จำเป็นต้องทำแอปฯให้เหมือน Candy Crush อีกแล้ว

 

แหล่งที่มา

https://www.techinasia.com/freemium-app-monetization


  • 134
  •  
  •  
  •  
  •  
Sarunjade
แชร์มุมมองเกี่ยวกับ Digital Marketing, Digital Business และ Technology เท่าที่รู้ สามารถติชมหรืออยากให้เจาะลึกเรื่องไหนเป็นพิเศษ ส่งเมลมาเลยที่ contact@oopsnetwork.co.th