ท่ามกลางข่าวร้ายมากมายในโลก สงคราม ภัยพิบัติ เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ ราคาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มหมดกำลังใจในการเดินหน้าต่อ ใช่ว่าจะหมดกำลังใจสู้ แต่จะต้องหาวิธีใหม่ในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้
LINE จัดงาน BOOTCAMP DAY อีเวนท์สัมมนาครั้งใหญ่แห่งปี มุ่งเสริมความรู้ เพิ่มศักยภาพ ให้ SME ไทยพร้อมเติบโตต่อได้อย่างมั่นใจ โดยมีผู้ประกอบการไทยสนใจเข้าร่วมงานแบบออนไซต์ทั้งสิ้นเฉียดพันคน ร่วมด้วยผู้ชมออนไลน์รวมกว่า 2 แสนคนตลอดทั้งวัน
ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล กูรูแห่งวงการการตลาดไทย หัวหน้าภาควิชาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานกรรมการบริหารไปรษณีย์ไทย ได้ร่วมแบ่งปันเทรนด์การตลาดสำคัญของปี 2566 ในงานนี้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไรในปีนี้ นักการตลาดหลายคนยังคงมองว่าประเทศไทยน่าจะยังเติบโตได้ ดังนั้น เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะต้องฮึดสู้ เตรียมตัวให้พร้อม ตั้งเป้าเดินหน้าต่อเพื่อการเติบโต โดยสิ่งที่จะต้องมุ่งเน้นสำคัญ คือ การรู้จักลูกค้าของตนให้ดี มีพฤติกรรมแบบไหน ต้องการอะไร เพื่อที่จะนำเสนอให้ได้ตรงใจ ในขณะเดียวกันควรต้องใส่ใจความรู้ในเรื่องของเศรษฐกิจโลก เพราะล้วนมีผลกับต้นทุนและปัจจัยการผลิต ที่สำคัญต้องรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
นอกจากนี้ ผศ. ดร. เอกก์ ยังได้เผยถึง 3 เทรนด์พฤติกรรมสำคัญของผู้บริโภคล่าสุดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME ไทย มี 3 สิ่งสำคัญ ‘3T’ ดังนี้
#1 Trust
คือการให้ความสำคัญกับคุณภาพ ไม่ใช่เพียงคุณภาพของสินค้าหรือบริการอีกต่อไป แต่ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และดีไซน์ที่ใช่ ได้กลายเป็นปัจจัยในด้านคุณภาพด้วยเช่นกัน
#2 Try
ชอบทดลองสิ่งใหม่ ผู้ประกอบการควรออกสินค้าใหม่ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความน่าสนใจ น่าตื่นเต้นให้กับแบรนด์
#3Trace
ให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของสินค้า ข้อมูลโดยละเอียดของสินค้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคสนใจอยากรู้ เช่น วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต ไปจนถึงข้อมูลการขนส่งไปจนถึงมือลูกค้า เป็นต้น
เมื่อผู้ประกอบการสามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ถูกใจผู้บริโภคได้แล้ว ผศ.ดร. เอกก์ ยังได้เน้นย้ำถึง 4 เทคนิคสำคัญสำหรับ SME ไทยในการเดินหน้าธุรกิจยุคใหม่ คือ “เร็ว” – ความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปตามเทรนด์ผู้บริโภคและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป “รู้” – ความรอบรู้ในการใช้เครื่องมือและดาต้าที่ได้มาอย่างมีประโยชน์สูงสุด “เรื่อง” – บอกเล่าเรืองราวของสินค้าได้อย่างสร้างสรรค์ และ “รักษา” – มุ่งทำธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วยกัน
พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Anitech แบรนด์สินค้าอิเล็คทรอนิกซ์ของไทย ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทำธุรกิจ ในฐานะผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเติบโตแบบก้าวกระโดดมากว่า 15 ปี ถึงแนวทางสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนว่า จะต้องรู้จักลูกค้าให้ดีและให้ความสำคัญกับการทำให้ลูกค้าขาจรกลายเป็นลูกค้าขาประจำให้ได้ เพราะธุรกิจจะอยู่ได้เกิดจากการซื้อซ้ำของลูกค้าเดิม และลูกค้ากลุ่มนี้ยังสามารถช่วยเป็นกระบอกเสียงในการบอกต่อ แชร์เรื่องราวของแบรนด์ หรือแม้แต่แนะนำลูกค้าใหม่ให้ได้
ทั้งนี้ การจะรู้จักและรู้ใจลูกค้าได้นั้น Data ควรเข้ามามีบทบาทสำคัญ หมดยุคของการทำการตลาดแบบเก่า ที่ยังยึดถือข้อมูลในอดีต อันมักจะนำไปสู่การนำเสนอสินค้า/บริการในรูปแบบเดิมๆ ไม่น่าสนใจ หรือการวิเคราะห์ลูกค้าโดยใช้สมมุติฐาน การคาดคะเน ที่ไม่ได้อาศัยดาต้าใดๆ มาเป็นตัวชี้วัด เพราะปัจจุบัน ลูกค้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แบรนด์ควรศึกษา ใช้ข้อมูลที่แบรนด์เก็บหรือได้มาเป็นสิ่งชี้ชัดพฤติกรรม เพื่อนำไปเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้ ล้วนนำมาสู่บทสรุปที่ว่า ลูกค้าคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในทุกยุค ยิ่งในยุคนี้ มีเครื่องมือดิจิทัลมากมาย ที่สามารถเข้ามาช่วยให้แบรนด์ทำความรู้จักลูกค้าของตนให้ดียิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยเอกลักษณ์ของผู้บริโภคไทย ที่ชอบแชท ชอบพูดคุยในการซื้อขาย การสื่อสารที่ดี มีประสิทธิภาพกับลูกค้า จะช่วยทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจลูกค้าได้ดีที่สุด
สำหรับ LINE พร้อมเป็นเพื่อนร่วมทาง เคียงข้าง SME ไทยในการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ ด้วยโซลูชั่นมากมายสำหรับการทำธุรกิจแบบแชทคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเข้าถึงลูกค้า ปิดการขาย ขยายฐานลูกค้า เก็บดาต้า ไปจนถึงสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดย LINE จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกโซลูชั่นของ LINE ตอบทุกโจทย์การทำธุรกิจของคนไทยในโลกแห่งการซื้อขายผ่านแชทได้ สร้างการเติบโตให้กับทุก SME ไทยอย่างยั่งยืน