สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ยังคงคลุกรุ่น และไม่มีทีท่าจะยุติลงได้โดยเร็ววัน อีกด้านหนึ่งนั้นส่งผลให้บริการข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอสข่าวการเมืองทางโทรศัพท์มือถือได้รับความนิยมสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ ผู้ให้บริการ 2 รายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นกว่า 80-90% อย่างเอไอเอส และดีแทค สะท้อนตัวเลขเอสเอ็มเอสข่าวด่วนได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเชื่อกันว่า แนวโน้มในปี 2552 บริการเสริมผ่านโทรศัพท์อมือถือ จะเป็นอีกบริการที่ทำรายได้อย่างดี!
“เมื่อปี2550 รายได้บริการเสริมดีแทค คิดเป็นเพียง 10%ของรายได้ทั้งหมด แต่เมื่อผ่านไตรมาส2 ที่ผ่านมาปรากฎรายได้บริการเสริมได้เพิ่มเป็น 14% ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าปีหน้าจะยังเป็นบริการที่สามารถทำรายได้อย่างดี ประกอบกับการเปิดให้บริการโทรศัพท์ในระบบ 3จีจะเพิ่มทางเลือกมากขึ้น”
เป็นคำยืนยันของปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มบริการเสริมบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซสคอมมิวนิเคชันจำกัด(มหาชน)หรือดีแทคกล่าว
ทั้งนี้ เขาอธิบายถึงบริการเสริมหรือนอนวอยน์ที่ได้รับความนิยม 4 อันดับ แรกของดีแทคว่า เอสเอ็มเอส ครองส่วนแบ่งอยู่กว่า 30% GPRS และ EAGT อีก 30% เสียงรอสาย 18% และสุดท้ายคือ คอนเทนต์ ดาวโหลด และโหวตอีก 18% โดยบริการGPRS EADE มีแนวโน้มรายได้เพิ่มต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลจากเน็ตเวิร์กดีขึ้น คอนเทนต์หลากหลายขึ้น ขณะเดียวกันมีเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับบริการมือถือ รวมทั้งเรื่องไฮไฟที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้GPRS มีแนวโน้มโตดีกว่าหมวดอื่น
“ส่วนหมวดข่าวการเมืองและข่าวทั่วไป ถือเป็นบริการที่ได้รับความนิยมสูงมากในบรรดาเอสเอ็มเอสข่าวทั้งหมด คิดเป็นกว่า 60-70% ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าคนสนการเมืองมากขึ้น ขณะที่ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวกีฬา และบันเทิงก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก”ผู้บริหารดีแทคกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่อีกรายหนึ่งที่ให้ภาพที่เกิดขึ้นได้อย่างดี ปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอสกล่าวว่า ตนยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนนักเกี่ยวกับข่าวการเมืองว่า จะได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งผิดกับเมื่อครั้งราคาน้ำมันเพิ่มสูง เอสเอ็มเอสเกี่ยวกับข่าวประเภทนี้จะได้รับความนิยมสูงกว่า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเอสเอ็มเอสเกี่ยวกับข่าวถือว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเรื่อยๆ
“ปีนี้แพ็กเก็จเอสเอ็มเอสข่าว ลูกค้าได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.5 ล้านราย โดยขณะนี้ยังมีอยู่ระหว่างทดลองใช้อีกลายแสนรายเพื่อรอการตัดสินใจ ทำให้ที่ผ่านมาเอไอเอสได้จับมือกับพันธมิตรสำนักข่าวกว่า 15 แห่งสำหรับเอสเอ็มเอส และ 6 สำนักข่าวสำหรับเอ็มเอ็มเอส โดยสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นยังครองส่วนแบ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่ง รองลงมาก็จะเป็นทีนิวส์ ช่อง7 ช่อง3 อสมท.ตามลำดับ เป็นต้น” ผู้บริหารด้านบริการเสริมกล่าว
ทั้งนี้ เอไอเอสได้แบ่งเอสเอมเอ็สข่าวออกเป็นข่าวทั่วไป หรือข่าวด่วน ประเภทนี้ครองส่วนแบ่งอยู่ 80-90%ของคอนเทนต์ข่าวทั้งหมด ที่เหลือแบ่งเป็นข่าวเศรษฐกิจ การเมือง กีฬา และบันเทิง เป็นต้น โดยเมื่อแบ่งรายได้จากบริการเสริม บริการเอสเอ็มเอส ยังครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ1 คิดเป็นกว่า 29% เสียงรอสาย 21% และต่อมาเป็นบริการGPRS และคอนเทนต์จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คิดเป็นกว่า 19% ถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อวันนี้ลูกค้ากว่า 70% ของเรา จากที่มีอยู่ 26 ล้านรายเคยใช้บริการเสริม โดยในจำนวนนี้กว่า 50% มีการใช้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เราจึงคิดว่ารายได้ในส่วนนี้จะมีแนโน้มทำรายได้ดีในปีหน้า”เขากล่าวทิ้งท้าย
โดยเอไอเอสได้เดินหน้าจับมือพันธมิตรคอนเทนต์เพื่อสร้างความหลากหลายสำหรับลุกค้า ล่าสุดได้ร่วมกับมูลนิธิ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญฯ จัดทำโครงการ “ธรรมะใกล้มือ” โดยนำเทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือมาเปิดให้บริการเสริม เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเผยแพร่ธรรมะและหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งโครงการ “ธรรมะใกล้มือ” เป็นบริการ IVR และ SMS เปิดให้บริการฟรีเป็นหลักคำสอนของพระอาจารย์ 3 ท่าน ได้แก่ ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ , พระมหาวุฒิชัย (ว. วชิรเมธี)และ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต)
Source: Business Thai