สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเกาหลีใต้ ยังคงรุนแรงในปัจจุบัน มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง(นอกประเทศจีน) โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ณ วันที่ 7 มี.ค. 2563 มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 93 ราย ทำให้มีจำนวนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 7,134 รายแล้ว
แม้ว่าผู้ติดเชื้อรายวันในเกาหลีใต้โดยเฉลี่ยมีจำนวนน้อยลง เมื่อเทียบกับในช่วงแรกๆ แต่รัฐบาลยังคงออกมาตรการฉุกเฉิน และช่วยเหลือเร่งรัดการตรวจวินิจฉัยให้เร็วขึ้น อีกทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น จัดส่งกล่องเพื่อรับมือกับไวรัสโคโรนาถึงหน้าบ้านสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ไม่สามารถนอกมานอกบ้านได้ตามปกติ และสงสัยว่าอาจติดเชื้อไวรสดังกล่าว จึงแนะนำให้กักตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์
โดยในกล่องดังกล่าวจะมีทั้งอาหาร น้ำดื่ม หน้ากากอนามัย แปรงสีฟัน เครื่องวัดอุณหภูมิ เจลสำหรับฆ่าเชื้อโรค ถุงใส่ทิชชู่ และเอกสารวิธีการกักโรคด้วยตัวเอง เป็นต้น
และสำหรับ ‘หน้ากากอนามัย’ ในเกาหลีใต้ ปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญนอกจากจะเป็นเรื่องราคาที่แพงขึ้นเกือบ 10 เท่าแล้ว หน้ากากยังขาดแคลนรุนแรงมาก จนถึงขั้นที่ร้านค้าและร้านขายยาต้องใช้มาตรการ ‘จำกัดการขาย’ ด้วยการออกกฎระเบียบ ‘ขายตามวันที่เกิดของผู้ซื้อ’
โดยกฎระเบียบมีตั้งแต่ คนที่เกิดในวันเสาร์/วันอื่น จะซื้อหน้ากากอนามัยได้ในวันเสาร์เท่านั้น ขณะที่บางร้านกำหนดไว้ว่า ผู้ซื้อจะซื้อได้แค่วันคี่ หรือวันคู่ ตามเลขวันเกิดเท่านั้น พร้อมต้องยื่นบัตรประชาชนเป็นหลักฐานในการซื้อสินค้า (เพื่อสร้างระบบความเป็นธรรม) โดยร้านค้าทุกแห่งจะจำกัดการขายหน้ากากเพียง 2 ชิ้นเท่านั้นตามคำประกาศของรัฐบาล
ขณะเดียวกันร้านค้าส่วนใหญ่จะขายหน้ากากในราคาเดิม หรือแพงขึ้นมาเพียง 1-2 เท่าตัว ทำให้มีผู้คนยืนรอเข้าคิวซื้อกันอย่างหนาแน่นตลอดทั้งวัน
สำหรับต่างชาติที่อยู่ในเกาหลีใต้ จะสามารถซื้อได้ก็ต่อเมื่อ แสดงเอกสารประกันสุขภาพ, บัตรลงทะเบียนคนต่างด้าว และ passport เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มาจากประเทศจีน และอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ท่ามกลางกระแสการต่อต้านคนจีนในบางพื้นที่เสี่ยงในประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการล่าสุดจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ก็คือ ระงับการส่งออกหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา ไปยังตลาดต่างประเทศ ที่ก่อนหน้านี้ได้อนุญาตให้สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ 10% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังตลาดจีนมากที่สุด
ที่มา : koreaherald