แม้ปี 2564 จะเป็นวิกฤตที่ท้าทายหลายต่อหลายธุรกิจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อุปสรรคของ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เพราะสามารถสร้าง New High ทั้งยอดพรีเซล 30,257 ล้านบาท และยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึง 43% อีกทั้ง มีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 ราว 20%
แต่ในยุคที่ความสำเร็จไม่สามารถการันตีอนาคตและจำเป็นต้องมีแผนกระจายความเสี่ยง คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออริจิ้น จึงประกาศแนวคิดใหม่ในปี 2565 กับคอนเซปต์ Origin Multiverse หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล โดยแบ่งเป็น 3 ธีมธุรกิจ คือ ขยายสู่จักรวาลใหม่ แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน และเชื่อมโยงอีโคซิสเต็ม
“จากธุรกิจอสังหาฯ เราจะช่วยกันพาแบรนด์ใหม่ ๆ ธุรกิจใหม่ ๆ พาทุก Multiverse ให้เติบโตเป็นที่รู้จัก และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของธุรกิจเหล่านั้น และทุกธุรกิจนั้นจะเชื่อมโยงกันกลับมาเป็น Multiverse of Happiness เป็นอีโคซิสเต็มที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ทุกเจเนอเรชั่น และทุกจังหวะการใช้ชีวิต นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้บริษัทในเครืออีกประมาณ 4 บริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ได้ภายในปี 2568”
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ เนื่องจากการมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากแต่ละวัน จำเป็นต้องใช้มาตรการ Bubble and Seal กับแรงงานก่อสร้างซึ่งกระทบกับงานก่อสร้างโดยตรง หรือด้านงานขายที่อาจผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคอยู่บ้าง ส่วนสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน ก็ยังคงจับตามองว่าจะขยายผลไปทิศทางใด ซึ่งคาดว่าอาจมีผลกระทบทางอ้อม แม้จะกระทบต่อความรู้สึกและความมั่นใจของผู้บริโภคบางส่วน จึงจำเป็นที่ออริจิ้นจะกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เพื่อรับชาวต่างชาติที่ต้องการย้ายมาอาศัยในไทยซึ่งเป็นโอกาสหนึ่งของประเทศไทยท่ามกลางวิกฤตเหล่านี้
เปิด 3 แกนธุรกิจ Origin Multiverse
1. ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe)
จากเดิมที่ออริจิ้นมีจักรวาลหลักคือจักรวาลพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขยายตัวเองเข้าสู่จักรวาลใหม่ ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มจักรวาล ได้แก่ กลุ่มจักรวาลที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential for Sales), กลุ่มจักรวาลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business), กลุ่มจักรวาลธุรกิจบริการ (Service Business) และ กลุ่มจักรวาลเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends Business) โดยทั้ง 4 กลุ่มจะประกอบด้วยจักรวาลธุรกิจย่อย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา อาทิ โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร กัญชง และยังอาจมีจักรวาลย่อยเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
2. แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline)
ให้ทุกบริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลของตัวเอง ผ่านการจัดทัพผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแลทิศทางการเติบโต สร้างจุดแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยจะมีบริษัทย่อยที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) เพิ่มเติม นำโดย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น โรงแรม ออฟฟิศ ค้าปลีก บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ครบวงจร หลังจากก่อนหน้านี้ได้ส่งบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เข้า IPO ไปแล้วในช่วงปลายปี 2564 คาดว่าภายในปี 2568 ออริจิ้นและทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะกลายเป็นอาณาจักรที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท
3. เชื่อมโยงอีโคซิสเต็ม (Connecting the ecosystem) เชื่อมโยงทุกจักรวาลที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happiness ที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
ปีทอง 2565 กับเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท
แม้จะมีการเติบโตไปยังจักรวาลใหม่ แต่ออริจิ้นวางแผนรักษาการเติบโตในอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวม 17,500 ล้านบาท และตั้งเป้าทุกด้านแบบ All Time High ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ 31 โครงการ แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 12 โครงการ และคอนโดมิเนียม 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 42,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 137% โดยในฝั่งคอนโดมิเนียมจะเติบโตไปในทุกเซ็กเมนท์ มีแบรนด์ใหม่ เช่น ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ เช่น ฝั่งธนบุรี ทั้งยังมีโครงการใหม่เมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน ออริจิ้น มีมูลค่าบริษัท (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนโครงสร้างธุรกิจของออริจิ้น ประกอบด้วยหลายธุรกิจ ได้แก่
– ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) เช่น พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 143,800 ล้านบาท
– ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
– ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ เป็นต้น เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
เล็งเป้าหมายถัดไป ปั้น ‘พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น’ เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ส่วนบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ในฐานะบริษัทที่ดูแลบริการอสังหาฯ ครบวงจร อาทิ บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator) ก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจบริการใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตการดูแลผู้บริโภค รวมถึงมีกลยุทธ์หลากหลายเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด โดยปีที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ราว 490 ล้านบาท และคาดว่าจะเป็นบริษัทแรกในเครือที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 หลังจากนั้นจะตามด้วยบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด และบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด
ขณะเดียวกัน บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ก็ได้ทยอยปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจอื่นภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด ธุรกิจร้านอาหาร โดยภายใน 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของวัน ออริจิ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท
สำหรับ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หลังจากเปิดตัวเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3 ของปี 2564 ก็เดินหน้าแผนการเติบโตได้รวดเร็วกว่าแผนงาน โดยสิ้นปี 2564 มีที่ดินเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่เช่าทางอุตสาหกรรมกว่า 155,000 ตร.ม. จากแผนเดิม 40,000 ตร.ม. สำหรับการพัฒนาโครงการแรกในย่านบางนา กม.22 ภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2 ของปี 2565 และเริ่มรับรู้รายได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลากหลายโปรเจกต์ภายใต้แผนงาน ทั้งผ่านการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1 ล้าน ตร.ม. ภายในปี 2568